Interview

ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม

ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม
ประธานสถาบันสุจริตไทย
อดีต สมาชิกวุฒิสภา
“ชีวิตคนจะมีคุณค่า จะมีประโยชน์ เมื่อรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น”

เด็กสุรินทร์ : ชีวิตผมมีความหลากหลาย เป็นเหมือนเป็ด สู้ชีวิตมาทุกรูปแบบ, คุณพ่อเป็นนักพากย์ ฉายหนังเร่ ล้อมผ้า เก็บเงิน ผมช่วยขับรถ โฆษณาแห่หนัง ประกาศเชิญชวน ประโยคคุ้น ๆ ในสมัยนั้นก็เช่น “สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา” ฯลฯ ตระเวนฉายไปทั่วอีสานใต้ ในยุครุ่งเรือง เราเป็นเจ้าของหนังเร่ มากถึง 16 หน่วย มีมหรสพครบครัน ทั้งวงดนตรี หมอลำ ลิเก รำวง มวย ฯลฯ เช่าโรงหนังในแถบ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เอาหนังไปฉายเก็บเงิน จนกระทั่งถึงยุคการเข้ามาของวีดีโอเทป ทำให้รายได้จากการฉายหนังลดลง ขาดทุนจนต้องเลิกธุรกิจไป

นักกีฬา : ผมเป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เพราะตอนจบ ม.ศ.3, โรงเรียนสิรินธร ซึ่งเป็นสตรีล้วนในชั้น ม.ต้น แต่เป็นสหศึกษาในชั้น ม.ปลาย ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนสมัยนั้น มาทาบทามผมซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนชาย ให้มาเรียน ม.ปลาย ผมก็รู้สึกว่าดี ไม่ต้องสอบเรียนต่อด้วย เปลี่ยนบรรยากาศ ในชั้นเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีผู้ชายแค่ไม่กี่คน เป็นทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง อาจารย์รัก กีฬาอะไรที่เป็นประเภทชาย ได้เล่นหมด ผมตัวเล็กแต่ได้เป็นนักกีฬาหลายประเภท ทั้ง วอลเลย์บอล แบดมินตัน บาสฯ, ฟุตบอลก็ได้เล่น แต่ไม่เล่นจริงจังมากนัก ด้วยความเป็นลูกคนเดียว และพ่อเป็นนักเลงด้วย ใครจะมาทำอะไรลูกไม่ได้ ไม่ชอบให้เล่นกีฬาปะทะ สุดท้ายเรื่องกีฬาก็ไม่จริงจังถึงขั้นจะไปต่อในระดับสูง ๆ ด้วยภาระหน้าที่ เล่นแค่ระดับมหาวิทยาลัย

รัฐศาสตร์ : เห็นเพื่อน ๆ ไปสอบเทียบ ก็ตามไปด้วย พอสอบได้ มีสิทธิ์เอ็นทรานซ์ เลือกวิศวะ กับ รัฐศาสตร์ สอบแค่ 4 วิชา แล้วก็ติด รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นครูไม่เห็นด้วยที่จะไปเรียน เพราะผลการเรียนของผมดีมาก มีโอกาสที่จะเข้าเรียนวิศวะ หรือหมอ ตามโควต้าของมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่ผมไม่ได้คิดไกล หรือวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้า แค่เห็นพ่อแม่ลำบาก คิดว่า ถ้าเรียนจบเร็วอีกปี จะหยัดไปได้เท่าไหร่ หรือทำงานเร็วขึ้นอีกปี จะหาเงินช่วยพ่อแม่ได้ ก็หาเหตุผลทุกอย่างที่จะสนับสนุนให้คนอื่นไม่ค้าน โดยเฉพาะในเรื่อง การสอบปลัดอำเภอ ซึ่งขึ้นทุก ๆ สองปี ถ้าผมเข้าเรียนปีนี้ เมื่อจบจะสอบได้ทันที ไม่เสียเวลา ตอนเรียนปีสาม นิด้า ให้สอบสะสมได้ ก็ไปเรียนปริญญาโทเลย, พอจบปริญญาตรี สอบติดปลัดอำเภอรุ่นแรกเป็น 1 ใน 70 คนแรกของประเทศ วันประกาศผล ดีใจมาก นั่งฉลองกับเพื่อน คิดว่า ชีวิตนี้มีอาชีพ เลี้ยงดูพ่อแม่ได้แล้ว, เริ่มรับราชการตั้งแต่ปลัดอำเภอ บรรจุที่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ขุณหาญ, กันทรลักษ์, เขาพระวิหาร อยู่ในตำบลหมู่บ้านชายแดน อยู่กับพี่น้องประชาชน เห็นมุมความลำบากทุกข์ยากในชนบท

ปลัดมือกลอง : สมัยเรียนคณะรัฐศาสตร์ ผมเป็นมือกลอง วงแคนอีสาน ม.ธรรมศาสตร์ เล่นหมอลำ ตั้งแต่มีกลองแค่ใบเดียว ตอนหลังพอมีกลองชุดมา เราเล่นได้ ก็ตะเวนเล่นตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปทั่วเลย, เรียน ป.โท นิด้า ก็ตั้งวงดนตรี ตอนนั้นผมเล่นกลอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องเพลงได้ แต่เราได้จังหวะ ได้คีย์อยู่แล้ว จนมีวันหนึ่งเล่นเพลงเพื่อชีวิต นักร้องประจำไม่มา ผมก็ลองร้องด้วยความจำเป็น คนอื่นก็บอกดีนี่ วันหลังให้ร้องเลย, ตอนเป็นปลัดสุขาภิบาลอำเภอ รวบรวมสมาชิก ดุริยางค์ทหารที่ปลดประจำการ พนักงานผู้หญิงที่ชนะประกวดร้องเพลง มาตั้งวงดนตรีกัน นายอำเภอเป็นคนที่เก่งเรื่องมวลชนมากให้การสนับสนุนเต็มที่, บ้านนายอำเภอ บ้านปลัด อยู่ใกล้กัน ตอนเย็นเตะตะกร้อ ค่ำ ๆ เล่นดนตรีกัน ชาวบ้านในเมืองไม่ต้องห่วง ใครแต่งงาน ถ้าเชิญปลัด จะได้วงดนตรีไปด้วย ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ยินดีไปช่วยงาน ทำให้ความสัมพันธ์ในชุมชนดีมาก ๆ

สายบู๊ สุดซอย : เคยเจออุปสรรคมาเยอะแยะมากมาย สุดท้ายแล้วเรื่องในอดีต หรือความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น ต่อให้คิดให้ตาย ให้ปวดหัวยังไง มันก็ย้อนไปแก้ไขไม่ได้ ผมเส้นเลือดแตกมาแล้ว 3 รอบ ครั้งใหญ่เกิดขึ้น เพราะใช้ร่างกายมากเกินไป สมัยวัยรุ่นก็สายบู๊ ทำอะไร ทำสุดซอย, เป็นปลัดอำเภอ อยู่กับ อาสาสมัคร อยู่ชายแดน บางวันมีเหตุเหยียบกับระเบิด เราเป็นผู้นำเขา ไม่รู้จะจากกันวันไหน แล้วเขาเสียสละแทนเราได้ เราจะเลี้ยงเขา ดื่มกับเขา จะให้ทำแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มันก็ไม่ใช่ ถ้าจะดื่ม ก็ต้องถึงไหนถึงกัน สลบเป็นสลบ ช่วงนั้นใช้ชีวิตเปลือง แต่ทำให้ได้ใจกับผู้คน, อยู่ส่วนกลาง ไม่มีเส้นสาย เป็นมวยวัด พอขึ้นเวทีใหญ่ได้ ต้องชกเต็มที่ ทำงานเหมือนวัวเหมือนควาย ลูกอยู่นครสวรรค์ แต่ผมยังเช่าบ้านอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นอยู่กองอัตรากำลังกรมการเจ้าหน้าที่ เช้าผมไปเปิดสำนักงาน ถ้าเป็นวันศุกร์ หากงานยังไม่เสร็จต้องอยู่ทำจนเสร็จ แล้วขับรถกลับไปดูลูก ยังไงก็ต้องกลับ, พอวันจันทร์ ต้องออกตั้งแต่เช้ามืด เพื่อมาทำงานให้ทัน เป็นแบบนี้อยู่พักใหญ่ เห็นลูกแล้วน้ำตาไหล คนอื่นเขาได้อยู่กับลูก แต่เราต้องทำงาน ต้องสู้ วันที่ลูกเดินได้ ผมยังไม่รู้เลย สะท้อนใจมาก

เลี้ยงลูก แบบ ไม่เลี้ยง : ตอนผมเรียนรัฐศาสตร์ มีเพื่อนครบทุกแบบ ผมก็คล้ายกับพ่อ ได้มาจากท่าน สมัยพ่อเป็นนักพากย์ ระหว่างรอทำงานรอบต่อไป หากิจกรรมทำเพื่อฆ่าเวลา กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน พ่อทำอะไรบ้าง จะมาห้ามสิ่งเหล่านั้นกับผม คงยาก แล้วพอมาถึงรุ่นผม แบบนี้จะสอนลูกเรายังไง, วิธีสอนลูกของผมคือ “สอนตามความเป็นจริง” สูบบุหรี่ กินเหล้า ไม่ว่ากัน แต่ถ้าแน่จริง ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอก จะซื้อสิ่งเหล่านี้ให้ลูก ต้องใช้เงินตัวเองซื้อ อยากทำเอง ต้องซื้อเอง แม้กระทั่งการพนัน ถ้าไม่มีเงินเอง จะไปเล่นกับคนอื่นได้ยังไง เขาเลยกลายเป็นตัวของตัวเอง ผมสอนแบบนี้ด้วย ที่สำคัญ “เลี้ยง แบบ ไม่เลี้ยง” อย่าไปยุ่งกับชีวิตเขาเยอะ เราเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับเขา แค่นั้นพอ และการไม่เป็นภาระคนอื่นคือส่วนหนึ่ง แต่ถ้าชีวิตจะมีคุณค่า ต้องช่วยเหลือคนอื่นได้ ลูกผมทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียน ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยดูผลการเรียนของลูกเลย จริง ๆ คือไม่ได้ให้ความสำคัญ จนมีวันหนึ่ง ลูกได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง ผมเรียกมากอดเลย บอกว่า เรื่องนี้ไม่อาจทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เพราะลูกเป็นคนดี คนในห้องมีความรักต่อลูก สิ่งนี้คือความภูมิใจของพ่อด้วย

เรียนรู้จากประสบการณ์ : ช่วงเกิดเหตุการณ์ประชาชนมาตั้งหมู่บ้านสมัชชาคนจน เราไปเปิดบ้านมนังคศิลา ผมเป็นคณะทำงาน รวบรวมไพร่พลทางวิชาการ ประสานงานช่วยเหลือเกษตรกร ช่วยรัฐบาล แก้ปัญหา ชาวบ้านมีปัญหาอะไร จนต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้ โดยไปนั่งคุยกัน สอบถามว่า ชาวบ้านเดือดร้อนอะไรบ้าง ใครเดือดร้อนเรื่องอะไร ไม่มีที่ทำกิน หนี้สิน โครงการของรัฐล้มเหลว ฯลฯ ไล่มาทุกปัญหา ซึ่งพบว่ามี 169 ปัญหา สรุปคือ ให้ตั้งตัวแทนมา แล้วผมจะรายงานทุกวันว่าทำอะไรไปบ้าง อะไรที่ยังแก้ไม่ได้ ติดอยู่ตรงไหน อย่างเช่นเรื่องหนี้สิน ต่อมาก็กลายเป็นกฎหมายกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร, ชาวบ้านมาอยู่ที่นี่คงไม่สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเอง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะไปช่วยเหลือ ไม่ให้มาเดือดร้อนอย่างนี้ จนทำให้ชาวบ้านเกิดความพอใจ เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม

ประชาชนคือเจ้าของ : ด้วยความเป็นคนมหาดไทย โตขึ้นมาจากปลัดอำเภอ อยู่ส่วนกลาง อยู่ในกองการเจ้าหน้าที่ สำนักปลัด ส่วนการคลัง ผ่ายพัสดุ จัดซื้อจัดจ้าง กระทรวงมหาดไทย ตอนนั้นใหญ่มาก ดูแลกรมตำรวจ ฯลฯ การได้อยู่กับผู้ใหญ่ ทำให้เราได้เห็นภาพ ได้เรียนรู้อะไรเยอะ, ก่อนหน้านี้ ข้อมูลรัฐ เป็นเรื่องของความมั่นคง ชาวบ้านจะมาดูไม่ได้ ถ้าใครจะดูเรื่องอะไร เราปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นเรื่องยกเว้น คุณต้องทำเรื่องร้องขอมา, จนหลังรัฐธรรมนูญ ปี 2540 มี กฎหมาย ฉบับหนึ่งเกิดขึ้นใหม่ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการ เปลี่ยนวิธีคิดว่า “ประชาชนคือเจ้าของบริษัท” อันหมายถึงประเทศไทย ถ้าเจ้าของเดินมาที่โต๊ะ แล้วขอดูเอกสาร พนักงานก็ต้องให้ เรื่องเปิดเผยต้องเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น ถ้าจะไม่ให้อะไร ต้องอธิบายประชาชน ผมตะเวนบรรยาย ทำความเข้าใจทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ต้องเปลี่ยนวิธีคิด เป็นเรื่องเปิดเผยได้ เรื่องส่วนรวม เรื่องอยู่ในระหว่างดำเนินการของรัฐ มีเหตุ มีผล ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลคืออะไร เช่น สิทธิส่วนบุคคล แต่มีคนละเมิด นำไปเผยแพร่ ทำความเข้าใจว่า อะไรคือข้อมูลราชการ อะไรคือข้อมูลส่วนบุคคล อะไรเปิดเผยได้ หรือไม่ได้

ศาลปกครอง : พอผมทำเรื่องนี้ มีนักกฎหมายมหาชน เห็นเราเป็นนักกฎหมาย ที่มีความเข้าใจภาพใหญ่ ๆ พอตั้งศาลปกครอง ก็มีคนมาทาบทาม ถามว่าอยากโอนไปอยู่หน่วยงานนี้มั้ย ตอนนั้นตุลาการยังไม่มี แต่จะตั้งสำนักงานก่อน เปิดรับสมัครบุคลากรตามกฎหมายจัดตั้งศาลที่เกี่ยวข้อง ผมเข้าไปเป็นข้าราชการชุดแรก ๆ ร่วมกับข้าราชการเดิมจากสำนักงานร้องทุกข์จากหน่วยงานของรัฐ สมัยก่อนยังไม่มีศาลปกครอง จึงต้องการคนที่หลากหลาย เข้าไปจัดตั้งองค์กร ก็เห็นว่าเหมาะกับตัวเอง และทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในการรับราชการ, อยู่มหาดไทย 15 ปี ศาลปกครอง 16 ปี ผมเกษียณในตำแหน่งเลขาธิการศาลปกครอง เทียบเท่าปลัดกระทรวง

สว. : เมื่อ ปี 2554 อายุยังไม่เต็ม 50 ผมได้สายสะพายสายสุดท้ายแล้ว แต่ผมลาออกจากราชการ ก่อนเกษียณถึง 8 ปีช่วงนั้นมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผมต้องไปรายงานสถานการณ์ต่อผู้มีอำนาจบ้านเมืองในขณะนั้น เขาเห็นวิธีคิด วิธีแก้ปัญหาและความเข้าใจของเรา ผมเป็นหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลฯ คดีสำคัญ ๆ เป็นเลขาฯ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการ มีพื้นความรู้ มีมุมมองในการทำงาน, จนเมื่อมี สมาชิกวุฒิสภา ชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยความที่ได้ไปแสดงความเป็นมืออาชีพทางด้านกฎหมาย ทำให้ได้รับคัดเลือกเข้าไปทำหน้าที่ และจากประสบการณ์ในการทำงาน จึงได้ไปทำงานอยู่ทั้ง ในคณะกฎหมาย และ กรรมาธิการพัฒนาการเมือง ปฏิบัติงานและหน้าที่ตามกรอบที่มีการกำหนดไว้จนครบวาระ…

กอล์ฟ : หลังจากเริ่มทำงานแล้วอีกพักใหญ่ ถึงได้รู้จักกับกีฬากอล์ฟ ช่วงที่มาแก้ปัญหา เป็นผู้ช่วยผู้ตรวจกระทรวงฯ ดูแลเขต 6 อีสานเหนือ สมัยนั้นได้ติดตามเจ้านาย พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ท่านชอบเล่นกอล์ฟ ผมก็มีโอกาสได้เริ่มบ้าง แต่มาเล่นจริงจังมากขึ้น ตอนทำงานอยู่บ้านมนังคศิลา ลงเรียนเป็นคอร์สกับโปร เรียนแค่ 4 ครั้งก็ไปออกรอบ แล้วไม่กลับไปหาโปรอีกเลย ช่วงบ้ากอล์ฟมาก ๆ เคยเล่นกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ยาวไปจนถึง 5 ทุ่ม ที่สนามกอล์ฟเอกชัย สนุกมาก หลงใหลกอล์ฟไปเลย ยิ่งเล่นยิ่งชอบ เพราะ “กอล์ฟเป็นเหมือนชีวิต” สุดท้ายเจอปัญหาอะไร ต้องกลับมามีสติ ยิ่งโมโห ยิ่งเจออุปสรรค เพื่อนก็ยิ่งดีใจ, เป็นกีฬาแปลก กีฬาที่ผมเคยเล่นมาทั้งหมด เราต้องมีร่างกายแข็งแรง หูไว ตาไว เคลื่อนไหวเร็ว ต้องวิ่งไปหาลูกบอล ดักทางมัน แต่ลูกกอล์ฟตรงกันข้ามเลย อยู่นิ่ง ๆ กลับตีไม่ถูก ขนาดวงเราเองยังไม่เหมือนเดิมเลย วันไหนดูทีวี แล้วตีตาม ซ้อมหน้าทีวีจะได้จำวงได้ วันถัดมา โดนกิน เพราะที่ซ้อมไปอาจผิด ไม่มีใครประเมิน เราดูตัวเองไม่ได้

กิจกรรมครอบครัว : ตอนเด็กเล่นกีฬาที่ใช้มือเยอะ กอล์ฟต้องใช้สวิง ไม่ใช่ตี เราเข้าใจทฤษฎี มือแข็งแรงด้วย ทำให้ตีไกลโดยธรรมชาติ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งตีไกล เพราะถูกวิธี ตีแม่นขึ้น ทำให้ยังเล่นกอล์ฟสนุกอยู่ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้ามากกว่านั้นยิ่งดี, ก่อนหน้านี้ ยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบต่อเนื่องกันมา ทำให้ได้เล่นกอล์ฟค่อนข้างน้อย แต่หลังจากนี้คงได้เล่นมากขึ้น เป็นความสุขในชีวิต, แต่ด้วยความที่เล่นกอล์ฟแบบไม่มีวง พื้นฐานที่ไม่ถูกต้อง ใจร้อน มาเริ่มเล่นตอนอายุมาก ถึงแม้จะให้โปรช่วยจับ แต่ตอนนั้นอายุก็เยอะแล้ว อะไรที่เป็นความบกพร่อง อะไรที่สมัยก่อนเราขาดหายไป ก็มาดูแล มาทำให้ถูกต้องในรุ่นลูกดีกว่า ทั้งเรื่องสุขภาพและกีฬา อย่างการว่ายน้ำ เราว่ายผิดวิธี ก็นำลูกหลานมาหัดให้ถูกต้อง เอาตัวรอดได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้, เรารู้ว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ดี มีประโยชน์ เป็นความสุขระยะยาว ต้องให้พื้นฐานกอล์ฟกับลูก ๆ ไว้ก่อน ให้ไปเรียนตั้งแต่เด็ก ๆ สักวันในอนาคตจะเป็นประโยชน์สำหรับเขา, สำหรับคุณพ่อผม ท่านทำงานหนักมาทั้งชีวิต พอถึงวันที่เราตั้งตัวได้ อยากให้คุณพ่อได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย ได้เล่นกอล์ฟทุกวัน ทำให้ท่านมีความสุขมาก, ที่สำคัญที่สุด กอล์ฟ สามารถเล่นด้วยกันได้ทุกคน บางวัน ปู่ พ่อ แม่ หลาน ๆ ได้ออกรอบด้วยกัน มีความผูกพันกันในครอบครัว หรือแม้กระทั่งพนักงานในสนามกอล์ฟ ที่รู้จักกันมายาวนาน เคยถือถุงให้ตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงรุ่นหลาน ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้

เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ : มองโลกในแง่บวก ไม่มีอะไรที่ค้างคา นอกจากไม่คิดแล้ว ยังมองในมุมบวกอีกด้วย เพราะ “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” เราไปแก้อะไรในอดีตไม่ได้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น มีมุมดีอยู่ด้วยเสมอ ถ้า “อดีตไม่เป็นแบบนั้น ปัจจุบันก็ไม่เป็นแบบนี้” เราได้บทเรียน ทำให้รู้จักคนแบบนั้นแบบนี้ มีมุมบวกทั้งสิ้น ส่งผลทำให้เรามีชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จ มาจนถึงวันนี้

กรรม เป็น ธรรม เสมอ : ผมสนใจเรื่องต่าง ๆ มากมาย อยากทำทุกเรื่อง เวลาใครมีปัญหา ใครโดนรังแก เมื่อมาปรึกษา ก็อยากช่วยเหลือ หากรับผิดชอบเรื่องไหน แล้วยังทำไม่สำเร็จ จะทำให้รู้สึกติดค้าง, ถึงแม้ไม่ได้ปฏิบัติแบบนั่งสมาธิภาวนาทุกวัน แต่มีบทสวดมนต์ เช่น พระมหาจักรพรรดิ สวดอยู่เป็นประจำ ก็ช่วยได้ และยังเชื่อในแนวคำสั่งสอนของศาสนาพุทธว่า “ทำดี ได้ดี” และ “กรรม เป็น ธรรม เสมอ” หลายเรื่องในชีวิต บ้างครั้งก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน นั่นอาจเป็นกรรมของเราที่เคยทำไว้ จึงยึดคติว่า “อโหสิ ให้อภัย”

ฝากไว้ให้ช่วยกันคิด : มีเงิน มีบ้านใหญ่โต แต่ถ้าได้อยู่แต่ในบ้าน แล้วจะเกิดมาทำไม, มีเงิน มีอำนาจ ต้องมีไว้ช่วยคนอื่น จึงจะเป็นความสุข, ถ้าคุณมีบารมี มีอำนาจมากมาย แต่ไม่ช่วยคนอื่นเลย แล้วคุณจะมีไว้ทำไม คุณค่าของชีวิตคือสิ่งนี้, มีหลายมุมที่สังคมให้เราเยอะมาก อย่างผมเองการเป็นข้าราชการ เจ็บไข้ก็ได้อาศัยสิทธิ์รักษา แผ่นนี้ดูแลครอบครัวผมเยอะ การประสบความสำเร็จในส่วนบุคคล อาจต่างจากคนอื่น เมื่อมีจังหวะ มีโอกาส ได้ทำงานสำคัญ ผู้คนให้การยอมรับ มีชื่อเสียง นั่นคือสิ่งที่สังคมให้มา เราต้องตอบแทน ทำเพื่อบ้านเมืองให้มากที่สุด โดยไม่ต้องกลัวอะไร ไม่กลัวว่าจะเป็นศัตรูกับใคร ทำตามหน้าที่ที่ควรทำ นี่คือความสุขของชีวิต คือคุณค่าของมนุษย์ที่ควรมี “ชีวิตคนจะมีคุณค่า จะมีประโยชน์ เมื่อรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น” และทุกวันนี้ ผมยังทำหน้าที่ ที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เป็น “พลเมืองดี” ครับ