Dr.Chen Yuanyuan
Dr.Chen Yuanyuan
อาจารย์ประจำสาขาการสอนภาษาจีน ภาควิชาการสอนภาษาต่างประเทศ,
ล่ามผู้ช่วยสอน (จีน – ไทย) หลักสูตรการจัดการนันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“ลองทำดูก่อน ทำให้ดีที่สุด ทำได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากัน”
รักภาษา : ชอบเรียนด้านภาษาค่ะ ตอนนั้นคือเน้นภาษาอังกฤษอย่างเดียว “อยากเป็นล่าม อยากเป็นนักแปล” ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยูนนาน นอร์มอล (YNNU, Yunnan Normal University) ตั้งใจเข้าเรียนภาษาอังกฤษ แต่สาขานี้มีคนเรียนเยอะแล้ว คิดว่าเราจะเด่นได้ยากมาก พอดีได้พบกับสาขา “การสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติ” ช่วงนั้นยังใหม่มาก อาจารย์ก็แนะนำ เพราะเรายังได้เรียนภาษาอังกฤษตามที่ตั้งใจ และต้องมีความรู้ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ทำให้เป็นสาขาที่น่าสนใจมาก, บ้านเกิดอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองคุนหมิง ชีวิตที่นั่นก็คล้ายกับนครปฐม เป็นเมืองเล็ก ๆ ค่าครองชีพไม่สูง อากาศดี คนไม่เยอะมาก รู้จักกันหมด ไม่วุ่นวาย เรียบง่าย ตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลย จนตอนนี้ก็แปลกใจว่า ทำไมปัจจุบันถึงเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เคยเรียนศิลปะการต่อสู้ กีฬาชนิดต่าง ๆ บ้าง แต่ช่วงนั้น โรงเรียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับกีฬามากนัก ชั่วโมงเรียนกีฬามักจะถูกวิชาอื่น ๆ นำเวลาไปใช้ ทำให้ไม่มีโอกาสเรียนด้านทำกิจกรรมเยอะนัก จะมีบ้างก็เช่นไปเรียนเต้นรำแบบจีนโบราณ พอเข้ามหาวิทยาลัย ได้ทำงานสอนพิเศษบ้าง มีการเข้ากลุ่มด้านภาษา เช่น English Corner, Thai Corner ทุกคนจะพยายามสื่อสาร ฝึกพูดกันด้วยภาษานั้น ๆ แม้ว่าแต่ละคนอาจยังไม่เก่งก็ตาม
ประเทศไทย : ปี 2012 ได้มาประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากเรียนภาษาไทยในหลักสูตร 3 + 1, เรียนในประเทศจีน 3 ปี และในประเทศไทยอีก 1 ปี, หลักสูตรสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติ จำเป็นต้องเลือกเรียนภาษาต่างประเทศนอกจากภาษาอังกฤษอีก 1 ภาษา ตอนนั้นเลือกภาษาไทย เพราะว่าต้องออกต่างประเทศ 1 ปี เพื่อเรียนในประเทศเจ้าของภาษา นักศึกษาที่นั่นส่วนใหญ่นิยมเลือกมาไทยเกือบหมดเลย มีส่วนน้อยที่ไปประเทศอื่น ๆ เช่น สวิสฯ เกาหลี เพื่อนในห้องมีประมาณสี่สิบคน เลือกมาเมืองไทยสามสิบกว่าคน ค่าใช้จ่ายค่อนข้างประหยัดด้วย
นครปฐม : มหาวิทยาลัย ยูนนาน นอร์มอล มี MOU กับ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มานานมากแล้ว รูปแบบคือ พอรุ่นพี่เรียนครบ 1 ปี ก็กลับไปเรียนต่อปี 4 ที่ ม.ยูนนานฯ แล้วรุ่นน้องถัดไปก็สลับมาไทย แต่ก่อนเดินทาง รุ่นพี่จะมาแนะนำเล่าให้ฟังก่อนว่า ที่ประเทศไทยใช้ชีวิตอย่างไร มหาวิทยาลัยฯ เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งรุ่นพี่จะชื่นชมอาจารย์มาก ๆ ส่วนชีวิตประจำวันก็คือ “ชิล ๆ ไม่เครียด” ทุกคนที่มาส่วนใหญ่คือชอบ มีแค่ส่วนน้อยที่บอกว่า อากาศร้อนเกินไป
สัมผัสชีวิตจริง : มาใหม่ ๆ รู้สึกร้อนมาก ห้องพักไม่มีแอร์ มีแค่พัดลม เหงื่อออกตลอด แต่พอผ่านไปสักพัก เริ่มปรับตัวได้ ชินแล้ว ก็อยู่ได้ อาหารการกินไม่มีปัญหา รู้สึกว่า อร่อย แต่การเดินทาง ลำบากนิดหน่อย รถเมล์ยังค่อนข้างน้อย, พอมาอยู่ไทย สัปดาห์ที่สองได้เข้าไปเที่ยวกรุงเทพฯ ตอนนั้นรู้จักเพื่อนคนไทยที่เรียน ม.ยูนนานฯ เขากลับมาก่อน แต่ยังติดต่อกันอยู่ ชวนไปบ้านที่กรุงเทพฯ พาไปเที่ยว ช้อปปิ้ง ดูหนัง เห็นบ้านเมืองแล้วรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ ห้างอยู่ติด ๆ กัน เดินทั้งวันก็ยังไม่หมด ไม่เหมือนกับนครปฐม ที่ค่อนข้างเงียบ ๆ รถไม่ติด

ความประทับใจ : รู้สึกดีมาก ๆ โดยเฉพาะกับผู้คน ได้เจอคนไทย เพื่อนนักศึกษาไทย อาจารย์ เจ้าหน้าที่ ทุกคนให้ความช่วยเหลือ คอยดูแลเป็นอย่างดี แล้วการสอนของไทย ต่างจากจีนมาก คนละสไตล์กันเลย ที่โน่น อาจารย์จะสอนอย่างเดียว นั่งเรียนแบบเครียด ๆ ไม่เคยมีคลาสเฮฮา แต่พอมาเรียนที่ไทย สนุก ทุกคนยิ้มแย้ม พูดเล่นกับเราตลอด ไม่ใช่แค่สอนอย่างเดียว “เรียนแบบไม่เครียด” เลยยิ่งชอบเรียนภาษาไทย, ตลอดทั้งปี เรียนภาษาไทยล้วน ๆ ไม่เรียนภาษาอื่นเลย ทั้ง อ่าน พูด เขียน ไวยากรณ์ รู้สึกว่าได้ความรู้เยอะมาก แต่ว่าตอนนั้นส่วนใหญ่นั่งเรียนในห้อง ทำให้รู้สึกว่า เราพอที่จะฟัง อ่าน เขียน ได้ แต่ถ้าให้พูด เหมือนยังไม่กล้า ไม่มั่นใจ พอครบ 1 ปี ต้องกลับไปเรียนปี 4 ที่จีน แล้วไม่มีเรียนภาษาไทยอีกเลย ทำให้อาจลืมบ้าง จึงใช้วิธีพยายามให้ยังอยู่กับภาษาไทยมากที่สุด ดูหนังไทย ดูละครไทย ช่วงนั้นไม่ดูหนังประเทศอื่นเลย ทำให้รู้จักละครไทย รู้จักดารานักแสดงไทย และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ลืมภาษาไทย
ทำงานที่ใช่ เรียนที่ชอบ : เรียนจบสาขาการสอนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติ ตั้งใจไว้ว่าจะไปสอบเป็นอาสาสมัคร พอดีได้เจอกับอาจารย์ที่ ม.เกษตรฯ ชวนมาทำงานที่กำแพงแสน ครั้งแรกมีความเข้าใจว่าจะไปสอน แต่พอมาแล้วได้เป็นเจ้าหน้าที่ ทำงานด้านเอกสาร ไม่ตรงกับสาขาที่เรียน, สุดท้ายตัดสินใจทำงานที่ไทย แล้วหางานเอง เป็นงานสอนภาษาจีนที่ โรงเรียนสหบำรุง มีเราเป็นอาจารย์คนจีนเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นคนไทย ฟิลิปปินส์ ระหว่างนั้น ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เสาร์อาทิตย์ นั่งรถเข้ามาเรียนปริญญาโท สาขาการสอนภาษาจีน ที่ ม.หัวเฉียวฯ, สนุกและได้ประโยชน์มาก เพราะได้เรียนทั้งจากอาจารย์ชาวไทยและอาจารย์ชาวจีน ส่วนใหญ่มาจากมหาวิทยาลัยกว่างซี เพราะมีโครงการแลกเปลี่ยนกัน เพื่อน ๆ มีทั้งไทยและจีนเรียนอยู่ด้วยกัน จนเรียนจบ จากนั้นย้ายมาราชภัฏนครปฐม ดีใจมาก เพราะเคยเรียนที่นี่มาก่อน ได้ทำงานกับอาจารย์ที่เคยสอนเรามา ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนภาษาจีน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
วิกฤติคือโอกาส : ปี 2019 มาเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาจีน ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกิดวิกฤติช่วงโควิด ต้องทำงานที่บ้าน มีสอนแค่ออนไลน์อย่างเดียว จึงตัดสินใจเรียนปริญญาเอก ภาษาจีน ภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นการเรียนออนไลน์ รู้สึกว่าเหมาะกับเรา สามารถบริหารจัดการเวลาได้ดี, สมัคร สัมภาษณ์ จนผ่านได้เข้าไปเริ่มเรียน ต้องทำวิจัยในทุกวิชาที่เรียน ทั้งสนุกและทำงานหนัก ได้ฟังผู้เชี่ยวชาญท่านต่าง ๆ เข้ามาบรรยายในหัวข้อแตกต่างกันไป ทำให้ได้ความรู้ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบมาก่อน แต่รู้สึกเหนื่อย เพราะต้องทำการบ้านเยอะ ทุกวิชาต้องเขียนบทความหรือวิจัย ต้องตีพิมพ์ด้วย แต่ตอนนั้นรู้สึกว่า ยังไหวอยู่
ล่ามเพื่อการศึกษา : ระหว่างเรียนปริญญาเอกที่ ม.เกษตรฯ บังเอิญว่า ได้รับการติดต่อให้มาเป็นล่ามในการเรียนการสอน จนได้รู้จักกับหลักสูตร การจัดการนันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, พอผ่านการแปลครั้งแรก ได้รับการชักชวนให้มาเป็นล่ามอีก ก็ตอบตกลง เพราะช่วงนั้นทำงานสอนอยู่ คณะอักษรศาสตร์ สาขาภาษาจีน ที่ ม.ศิลปากร อยู่แล้ว มองว่าเป็นการช่วยงานกันด้วย
ขอลองก่อน ได้ ไม่ได้ ค่อยว่ากัน : พอทำงานด้านการแปลไปราว 1 ปี รู้สึกว่า สาขานี้สนุก ถ้าเรียน คงจะได้ความรู้เพิ่มเติมอีกเยอะ พอดีอาจารย์ที่นี่ก็ชวนให้มาเรียนด้วย เพราะไหน ๆ ก็ต้องแปลเนื้อหาวิชาการอยู่แล้ว มาทำให้เป็นประโยชน์ด้านการศึกษา เรียนไปด้วยเลยดีมั้ย ตอนนั้นยังลังเล เพราะที่ผ่านมา ตั้งแต่ปริญญาตรี โท เอก เรียนแต่ภาษาจีน คิดว่าถ้าจบสาขานี้ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรมั้ย ทำให้ต้องคิดเยอะ แต่ในที่สุดตัดสินใจเริ่มเรียน ก็ไม่คิดอยู่แล้วว่า การเรียนปริญญาเอกพร้อมกันทั้งสองแห่ง และทำงานไปด้วย “จะง่ายหรือราบรื่น แต่ยังไงขอลองเรียนไปก่อน ลองทำดูก่อน ทำให้ดีที่สุด ทำได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที”

ดุษฎีบัณฑิต สองสถาบัน : พอเข้าสู่กระบวนการทำวิทยานิพนธ์ ของ ม.เกษตรฯ ก็เริ่มเรียนปริญญาเอกของ ม.ศิลปากร คาบเกี่ยวกันไปด้วย เรียนพร้อมกันสองแห่ง พร้อมกับทำงานการสอนภาษาจีนให้กับนักศึกษาปริญญาตรี และยังมีงานเป็นล่าม ที่ต้องทำให้กับหลักสูตรการจัดการนันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬา ทำหลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน รู้สึกว่าเครียดมาก จนต้อง “ปรับชีวิตใหม่” ปรับแผนการทำงานให้ตัวเอง หาวิธีจัดการเวลาให้ดีกว่าเดิม จนผ่านวิกฤติช่วงนั้นมาได้ ในที่สุดก็เรียนจบ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาตะวันออก (ภาษาจีน) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อ ปี 2023 และ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (การจัดการนันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬา) มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ ปี 2024, เหนื่อยมาก ๆ แต่ก็ “ภูมิใจอย่างยิ่ง”
รักการสอน : ยังอยากสอนภาษาจีนต่อไปเรื่อย ๆ เพราะสอนมานานแล้ว แต่คิดว่า อยากพัฒนาไปทางด้านการจัดการ นันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬาบ้าง, เลยร่วมมือกับเพื่อนตีพิมพ์วิจัยเรื่องที่เกี่ยวกับด้านนี้ ใน SCOPUS ทั้ง Q1 และ Q2, มีช่วงหนึ่งเป็นผู้ช่วยสอน นันทนาการฯ แบบเต็มตัว รู้สึกว่าสนุกอีกแบบหนึ่ง เพลิดเพลินไปกับงานที่ทำอยู่ “ไม่รู้สึกทรมานกับสิ่งที่ทำ”, การสอนภาษาจีน เราสอนให้นักศึกษาออกไปเป็นครู ไปถ่ายทอดความรู้ต่อให้เด็กไทยอีกที ฉะนั้น ต้องมีความเข้มงวดในการออกเสียง การเขียน เพราะหากมีข้อผิดพลาดอาจเกิดปัญหาจนเป็นประเด็นได้
การจัดการนันทนาการฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับ มีบุคลากรคุณภาพ อาจารย์ที่มีชื่อเสียง ก่อนที่นักศึกษาจากจีนจะตัดสินใจมาเรียนในหลักสูตร การจัดการนันทนาการ การท่องเที่ยวและกีฬา ที่ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เขามีการหาข้อมูลและรายละเอียดล่วงหน้า เพื่อยืนยันว่า “สิ่งที่ประชาสัมพันธ์ออกไป ตรงกับสิ่งที่จะได้รับ” เมื่อเข้ามาเรียนที่นี่จริง ๆ เมื่อมาเรียนแล้วก็พบว่า เขาใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีความสุขมาก ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน มีนักศึกษาจากจีนมาเรียนที่นี่ประมาณ 50 คน แล้วบางคนเล่าว่า ช่วงที่รู้สึกว่ามีความสุขที่สุด คือช่วงได้มาเรียนที่นี่ ในหนึ่งปี มีสองเทอม ได้มาสองรอบ ได้ทั้งเรียนรู้ และได้นำความรู้กลับไปใช้กับงานของเขาด้วย แต่พอปิดเทอม ต้องกลับไปทำงานเครียด ๆ เพราะคนที่เรียนสาขานี้ อย่างคนจีนที่จบออกไป จะกลับไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย กลับไปเป็นผู้บริหาร แต่ละคนมีหน้าที่การงานทั้งนั้น บรรยากาศการเรียนจึงค่อนข้างสบาย เน้นเรื่องการนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ ไปปฏิบัติจริงมากกว่า, ด้านหนึ่งคือการเรียนการสอน อีกด้านหนึ่งคือบริหารจัดการ เป็นหลักสูตรบูรณาการ “นำหลายศาสตร์เข้ามาร่วมกัน” ทั้ง การจัดการ นันทนาการ กีฬา การท่องเที่ยว และนี่คือจุดขายที่ทำให้นักศึกษาชาวจีนให้ความสนใจ
สร้างครอบครัว ณ ประเทศไทย : ช่วงที่คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยแบบถาวร “ตัดสินใจไม่นานเลย” เพราะมีแฟนเป็นคนไทย เราไม่เหมือนกับคนรุ่นก่อน ๆ สามารถตัดสินใจกับชีวิตของเราได้เอง คุณพ่อคุณแม่บอกว่า ถ้าคิดดีแล้วก็ตามใจ เพราะท่านรู้ว่า ถ้าเราทำอะไร ย่อมมีเหตุผลของตัวเอง และตั้งแต่เล็กจนโต เราเป็นเด็กที่เชื่อฟังท่านมาตลอด, พอแต่งงานแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยแบบถาวร พอมีลูก ด้วยความที่เราชอบภาษา เลี้ยงลูกก็เน้นเรื่องนี้ ตอนเขาเด็ก ๆ ที่บ้านเน้นพูดภาษาอังกฤษกับจีน เพราะมองว่าพอโตขึ้นเข้าโรงเรียนก็ได้ภาษาไทยแน่นอน ไม่ได้ตั้งใจให้เก่งภาษาหรืออะไรเป็นพิเศษ แล้วเขาก็ชอบเองตามธรรมชาติด้วย สามารถพูดได้ทั้ง ไทย จีน อังกฤษ ส่วนการเรียนก็ไม่ได้ไปเน้นว่าต้องเก่ง บอกลูกตลอดเลยว่า “ทำให้เต็มที่ ตั้งใจทำ” สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่เป็นไร และเราก็เข้มงวดเรื่อง ระเบียบ วินัย มารยาท อยู่เหมือนกัน แต่เรื่องการเรียน ความชอบ ค่อนข้างปล่อยอิสระ เพราะที่จีน การแข่งขันสูง ตั้งแต่เด็กก็เครียดแล้ว เสาร์ อาทิตย์ ต้องเรียนพิเศษเชิงวิชาการ ถ้าถามว่าอยากให้ลูกไปเรียนที่จีนมั้ย ก็อยากให้ไป แต่ต้องระดับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ช่วงยังเด็ก เพราะอยู่ที่นี่เขามีความสุขกว่า
ความสุขของชีวิต : งานที่ทำ ทั้งการสอนภาษาจีนและการจัดการฯ เป็นงานที่รัก ที่ชอบ ยิ่งทำ “เหมือนได้สนุกกับงานของตัวเอง” ทำให้ไม่รู้สึกเครียด แต่ในที่สุดแล้ว “ครอบครัวสำคัญที่สุด” เพราะนั่นคือความสุขที่แท้จริง โชคดีที่มีลูก ๆ น่ารัก สามีที่ดี เวลาเหนื่อย เลิกงาน กลับไปถึงบ้าน ได้อยู่กับครอบครัวกันพร้อมหน้า ได้เห็นรอยยิ้ม ได้เล่นกับลูก ๆ พลังชีวิตก็กลับมาเต็มที่, แล้วอาจารย์ที่นี่บอกอยู่เสมอว่า “กีฬาเป็นยาวิเศษ” เราจึงต้องออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ มี เต้นแอโรบิคบ้าง เริ่มเล่นกอล์ฟแล้วบ้าง และพอครบกำหนดก็ไปตรวจสุขภาพประจำปี ปล่อย วาง : เมื่อตอนเรียนจบใหม่ ๆ โมโหง่ายมาก ยังจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยเป็น แต่ตอนนี้รู้สึกว่า สามารถบริหารจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีแล้ว เวลาที่รู้สึกว่าเครียด ต้องหาทางออกให้ตัวเอง คิดว่าจะวางแผนใหม่ดีมั้ย หรือ “วางปัญหาทิ้งไว้ก่อน” ก็จะช่วยเหลือตัวเองได้, ในอดีต เคยเจอปัญหาหนัก ๆ รู้สึกชีวิตมีแต่ความเศร้า จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมาแล้วคิดได้ว่า จะเศร้าไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว แค่เอาเรื่องนี้ “ปล่อยออกจากใจ” ปล่อยวางไป ความทุกข์ ความกังวล ก็จะหายไปเองแล้วค่ะ


