นโยบายเชิงรุกกับวงการกีฬาไทย
นโยบายเชิงรุกกับวงการกีฬาไทย
จากกระแสนักกีฬาไทยที่ออกไปสร้างชื่อเสียงในต่างแดนถ้าเป็นทีมก็คงหนีไม่พ้นบรรดา “นักตบลูกยางสาวไทย” หรือถ้าจะเป็นประเภทเดียวแบบว่า “ข้ามาคนเดียว” ก็ต้องเป็นนักตบลูกขนไก่ที่ทำชื่อเสียงมาคนแล้วคนเล่ามีขึ้นอันดับ 1 ของโลกทั้งเยาวชนและอาชีพ เวลาทัพลูกขนไก่ไทยออกไปทำการแสดงที่ไหนก็มักมีความสำเร็จติดไม้ติดมือมาเสมอ ก็เรียกได้ว่าบรรดาขุนพลเหล่านี้เป็นที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของผู้คนทั้งประเทศแทนสิวได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีเรื่องที่ต้องมาสะดุดตามก็อยู่นิดนึงก็ที่อินโดนีเซียโอเพ่นที่เราขาดตัวแม่เหล็กอย่าง “รัชนก” ไปได้อย่างไรเรียกว่าไม่มีชื่อกันเลยทีเดียว แบบนี้สมาคมจะออกข่าวที่มาที่ไปกันอย่างไรเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับอดีตมือ 1 ของโลกอย่าง “รัชนก” ส่วนที่มาและที่ไปก็ยังไม่มีใครรู้กันจริงๆ ว่าต้นตอมันคืออะไร ผมว่าเรื่องนี้มันก็คงเงียบกันไปพร้อมๆ กับ “รัชนก” ที่ไม่รู้ว่าอยู่กับอารมณ์ไหนในเวลานี้…
อีกกลุ่มของนักกีฬาที่ออกไปวาดลวดลายกันในต่างแดนนั่นคงจะหนีไม่พ้น “วอลเล่ย์บอลสาวไทย” แต่กับผลงานที่ออกไปแพ้แบบรัวๆ ในการแข่งขันชนะได้เพียงครั้งเดียวเล่นเอาผู้คนพากันอารมณ์เสียเป็นแถบ บางกลุ่มบางพวกเล่น “ด่ายับ” ส่วนบรรดาที่ชมและให้กำลังใจก็มีมากโขอยู่ ผมเองอยากจะบอกกับบรรดา “เกรียน” ทั้งหลายว่า “คุณคิดว่านักกีฬาของเราเป็นจอมยุทธซะขนาดไหนกันหรือ” การที่เรามีทีมสาวไทยที่แข็งแกร่งขนาดนี้มันดีมากแล้ว เรามีนักกีฬาที่เป็นสินค้าขึ้นห้างมากมายหลายคน เรามีเด็กรุ่นหลังที่อยากจะเป็นใครต่อใครหลายคนที่เขารัก คุณอย่าด้อยค่าคนไทยเรากันเอง…
ผมอยากจะถามว่า “ในบรรดาทีมที่เราแพ้มาทั้งหมดเขาไม่มีมือมีเท้ากันหรืออย่างไร” นอกจากเขาจะมีอาการครบ 32 มาแต่เกิดแล้วจากระบบพันธุกรรมเขาได้เปรียบเรามากมาย การที่เราเฉิดฉายได้ขนาดนี้ ประเทศไทยมาได้ถึงเพียงนี้ส่วนตัวผมนะ “คำน้อยผมยังไม่อยากให้เธอเสียใจเลย” ทีนี้บรรดาผู้ที่รับผิดชอบในนโยบายกีฬาควรรีบทำงานให้หนักขึ้นกว่านี้อีก เอาความสำเร็จหรือความปราชัยมาจัดระเบียบเสียใหม่สร้างนโยบายที่เป็นไปได้ให้มากขึ้น แบบนี้วงการกีฬาจะเจริญแบบไม่มีข้อกังขาเลยครับ… ไอ้พวกที่ชอบด่าคนอื่นเขาลองมาชมเขาบ้างดูซิว่ามันจะตายไหมครับ
ครูไก่

