Interview

สุชาติ ปั้นทอง

สุชาติ ปั้นทอง
บริษัท ปั้นทองเจริญ​ วิศวกรรม จำกัด
“ถ้าวันแรกที่เริ่มคิด แล้วไม่ลงมือทำ จะไม่มีวันนี้ได้เลย”

เด็กสวนส้ม : ไม่คิดว่าชีวิตจริงจะมาไกลขนาดนี้ ผมโตมาในย่านบางมด ทุ่งครุ เรียนจบแค่ชั้น ป.6 เท่านั้นเอง ชีวิตไม่มีอะไรมาก ช่วยงานพ่อแม่ เช้าขึ้นมา ขับเรือเข้าไปดูสวนส้ม ชีวิตผกผัน เพราะได้พบกับแฟนตั้งแต่จบประถม เธออยู่พระประแดง ผมอยู่กรุงเทพฯ แต่เป็นเขตชนบทมาก ได้เจอกันตามงานวัด งานบวช งานแต่ง งานพิธีต่าง ๆ แฟนเรียนหนังสือตลอด แต่ผมอยู่ในสวนตลอด ชีวิตดูแล้วห่างกันมาก ดังนั้น เป้าหมายของผมต้องชัดเจนว่า ‘รักผู้หญิงคนนี้ คนเดียวเท่านั้น’

เรียนนอกระบบ :ในยุคน้าชาติ ที่บ้านผันมาทำธุรกิจ ค้าขาย นำพืชผักผลไม้ในสวนมาขาย แถวตรงข้ามตลาดดาวคะนอง ทำให้เจอผู้คนมากขึ้น แล้วเปลี่ยนไปเป็นนายหน้าค้าที่ดิน ในยุคมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ซื้อมาขายไป ใครอยากจะซื้อขายที่ดินในย่านนั้น เราเป็นนายหน้า รู้จักนายทุน รู้จักเจ้าของที่ เป็นยุคเฟื่องฟู สนุกอยู่พักใหญ่ จนมาพบว่ามีระบบการศึกษานอกโรงเรียน ศึกษาผู้ใหญ่ ทำให้ได้เรียน ม.ต้น ม.ปลาย จากหน่วยอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และอาจารย์ที่นั่นได้ให้คำแนะนำ แนะแนวว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปในชีวิต สรุปคือ ไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยดีกว่า

ม.ศรีปทุม : มีญาติอยู่ย่านบางเขน ผมนั่งรถเมล์ผ่าน ม.ศรีปทุม ซึ่งไกลจากบ้านผมมาก ตอนนั้นเห็นว่า นักศึกษาที่นี่สวย โดดรถเมล์ลงไปสมัครเลย (หัวเราะ) แต่วุฒิการศึกษานอกโรงเรียน ใช้สมัครเข้าวิศวะไม่ได้, อาจารย์แนะนำว่า ต้องไปเอ็นทรานซ์ ก็นั่งรถเมล์ไปจุฬาฯ ซื้อใบสมัคร แล้วสอบตามระบบ พอประกาศผลก็ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ ม.ศรีปทุม ตามความตั้งใจ

เป้าหมายชัดเจน : คือ อยากเป็นวิศวะ ที่เหลือค่อยมาเคลียร์ทีหลัง (หัวเราะ) จบการศึกษานอกโรงเรียน วิทย์ คณิต เคมี ฯลฯ ไม่เคยมีอยู่ในหัว มาที่นี่คือ ทุกอย่างใหม่หมด วันมารายงานตัว อาจารย์ถามว่า จะไหวหรือ? ผมตอบไปว่า ไหวครับ เป้าหมายผมชัดเจน ว่าต้องจบวิศวะให้ได้ 

ไม่รู้ ต้องกล้าถาม : ไม่รู้คือถาม กล้าอยู่แล้ว อาชีพเดิมคืออยู่ตลาด เป็นพ่อค้า เป็นนายหน้า กล้าคุย กล้าเจรจา ไม่รู้ก็ถามว่าต้องทำยังไง แล้วขวนขวายหาคำตอบ เจออาจารย์ก็ถาม ขอคำแนะนำ เจอรุ่นพี่ก็ถาม ขอให้สอน ให้ติว พร้อมจะรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามา ทำให้คุ้นเคยกับอาจารย์, รุ่นพี่ เวลามีอะไรก็เรียกใช้ จึงกลายเป็นเด็กกิจกรรมไปโดยปริยาย, เคยแต่อยู่ในสวน อยู่ในตลาด แล้วมาใช้ชีวิตอิสระอยู่ในมหาวิทยาลัย มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตเยอะมาก แต่เราก็รับไว้ด้วยความหนักแน่น และรู้ตัวอยู่เสมอว่า มาที่นี่เพื่อเรียนให้จบ เพื่อนก็ต้องมี แต่กลุ่มไหนที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้ 

ชีวิตมหา’ลัย :การเรียนนับว่ายากมากสำหรับผม แต่อาจารย์ก็ช่วยให้แนะนำ ให้คำชี้แนะว่าควรอ่านหนังสือแบบไหน จนเรียนปีหนึ่งได้แบบปริ่ม ๆ พอขึ้นปีสองมีกิจกรรมเข้ามามากขึ้น ก็เข้าไปมีส่วนในหลายสิ่ง เช่นการรับน้อง สมัยนั้นยังออกไปต่างจังหวัดได้ ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ทำหนังสือออกจากมหา’ลัย ประสานงานสถานที่, รถบัส ฯลฯ ทำให้คุ้นเคยในกระบวนต่าง ๆ ถือว่าประสบความสำเร็จมากในการจัดกิจกรรม, ปีสาม อยู่ในสโมสรคณะวิศวะฯ ได้ช่วยงานทางวิชาการ ทำกิจกรรม ต้องเจอคนหลากหลาย ทั้งคนทำงานแล้วทางสายช่าง และนักศึกษาเพิ่งจบ ม.6 ทำให้เข้ากับคนต่าง ๆ ในกลุ่มได้ง่ายขึ้น พอปีสี่ ได้รับคัดเลือก เป็นตัวแทนคณะฯ ไปนั่งอยู่ใน องค์การนักศึกษา เข้าไปบริหารกิจการของมหา’ลัย และได้คัดเลือกให้เป็น นายกองค์กรนักศึกษาฯ แบบไม่คาดหวัง แต่ได้เพราะเพื่อนจากคณะต่าง ๆ เห็นผลงาน มอบความไว้วางใจ ให้บริหารเรื่องต่าง ๆ ในมหา’ลัย 

งานยุควิกฤติ : พอเรียนจบ ได้เริ่มทำงานกับอาจารย์ที่เข้ามาสอน เป็นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพราะผมจบวิศวะไฟฟ้า จังหวะนั้นเจอวิกฤติเศรษฐกิจพอดี ธุรกิจต้องมีการปรับตัว และด้วยผมเป็นพนักงานอาวุโสน้อยจึงโดนผลกระทบเต็ม ๆ โชคดีที่ อาจารย์มหา’ลัย โทรไปตามให้มาเป็นผู้ช่วยสอนและอาจารย์แล็บ ได้พบกับคณาจารย์ท่านต่าง ๆ ทำให้เกิดความสนิทสนม จนได้รับคำแนะนำว่า มีบริษัทต่างชาติ ต้องการช่างที่ซ่อมเครื่องกลึง CNC (Computer Numerical Control) ได้ ทั้งด้านโปรแกรมและกลไก ประสบการณ์ขนาดนี้น่าจะไปสมัคร

ท่องโลกกว้าง : ผมเป็นเด็กสวนส้ม อาชีพต่อมาคือเลี้ยงกุ้ง เครื่องมือทางเกษตรต่าง ๆ ซ่อมได้สบายมาก เครื่องกลึง เครื่องเชื่อม เป็นเรื่องคุ้นเคยดีอยู่แล้ว พอเสนอโปรไฟล์ไปและสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เขาถามมาว่า คุณเดินทางได้มั้ย? ซึ่งผมพร้อม ไม่ว่าจะต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ไปได้หมด พร้อมลุย ก็รับเข้าทำงานทันที ช่วงแรก ถ้ายังมีติดสอนอยู่ ให้กลับมาสอนได้ตามปกติ เงินเดือนก็รับเต็ม จนกระทั่งจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็ทำงานเต็มที่ เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต เดินทางไปทั่วอาเชี่ยน ครั้งแรกไปสิงคโปร์ นึกว่าไปเทรนนิ่ง แต่กลายเป็นว่า ส่งให้ไปซ่อมเครื่องจริง ๆ เลย เป็นการทดสอบว่าเราเข้ากับระบบของเขาได้หรือไม่ พอทำได้ ก็ให้บินเดี่ยว ไปเกาหลี อินโดฯ ฟิลิปปินส์ จีน ฯลฯ กลายเป็นว่าให้เริ่มทำงานได้เลย โดยไม่ต้องส่งไปเทรนนิ่งที่อเมริกาหรือเยอรมัน

ติดเพดาน : มีคำถามว่า คุณอยากเป็น เอ็นจิเนียร์ หรือ เทคนิคเชียน? ต่างกันคือ อย่างแรกไม่มีโอที แต่อย่างหลังมี, ผมเลือกเป็นเทคนิคเชียน เป็น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส ทั้ง ขาย ติดตั้ง ดูแล และให้บริการ แต่กลายเป็นว่าเมื่อถึงจุดนึง มันตันด้วยเพดานในหน้าที่ จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ยาก แล้วยุคนั้นอินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น เราเองสามารถหาอะไหล่มาให้บริการลูกค้าได้ แต่ถ้าทำแบบนี้อยู่ต่อไปอาจมีปัญหา จังหวะนั้นพอดีรุ่นพี่ที่สิงคโปร์ ลาออกไปตั้งบริษัทเอง เราเองหาโอกาสนี้อยู่เช่นกัน ก็ตัดสินใจลาออกด้วย

ไขว่คว้าหาโอกาส : ธุรกิจที่ผมทำอยู่สมัยก่อนเป็นการขายเครื่องจักร อุปกรณ์ ในงานโพลียูรีเทน โฟม ส่วนใหญ่เป็นส่วนประกอบในรถยนต์ เช่น เบาะ พวงมาลัย รวมถึง หมอน ฟองน้ำ งานฉนวนความเย็น ความร้อน แล้วอีกสิ่งที่เจอคือ โรงงานผลิตเบียร์ในต่างประเทศ เราต้องไปดูแลเครื่องจักร ทำให้กลายเป็นพาร์ตเนอร์กัน จนถึงวันที่ผมจะลาออก เขาโทรมาบอกว่า จะมีโครงการใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศไทย คุณมีเครื่องจักรอะไรบ้าง เขาจะได้ไม่ต้องขนมาจากเยอรมัน ผมตอบไปว่า มีทุกอย่าง พร้อมให้การดูแล ตอนนั้นผมลาออกจากบริษัทเดิมแล้ว ทำให้ได้ไปทำงานโรงงานผลิตเบียร์ที่กำแพงเพชรอยู่ร่วมสิบปี 

รักษาชื่อเสียง : ทุกอย่างเราทำโดยไม่ได้หวังอะไร แต่จะมีกัลยาณมิตรให้โอกาสเสมอ อยู่ที่เราพร้อมแค่ไหน กล้าที่จะคว้าเอาไว้มั้ย จากธุรกิจเดิมที่ทำมา เกี่ยวกับฟองน้ำที่ใช้ในรถยนต์ ล้วนแต่มีเจ้าใหญ่ครองตลาดอยู่แล้ว เราเจาะเข้าไปไม่ได้ จึงรับแต่งานฉนวนกันความร้อนความเย็น เป็นเครื่องจักรที่เราถนัดมากกว่า จากงานเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจ ขยับขนาดขึ้นมาเรื่อย ๆ ได้รับงานโดยตรงจากผู้ผลิต เครื่องจักรเป็นของบริษัทเยอรมัน ซึ่งมีอยู่หลายแห่ง เรารับจ้างประกอบ ติดตั้ง เดินระบบ และบำรุงรักษา เป็นงานที่เหมาะกับเรา ใช้ทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับงานในกลุ่มรถยนต์ แต่เราต้องใช้แรงเข้าแลก และขายความเชื่อถือ ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า เราคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง เป็นชื่อเสียงของเราว่า เวลามีการขยายโรงงานในกลุ่มนี้ทุกครั้ง เราไม่รู้ว่าต้นทางใครจะได้งาน แต่เขาจะนึกถึงเรา เพราะคนทำงานจริง ๆ คือเรา และก็คงอยู่ในธุรกิจผลิตเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ และปิโตรเคมี ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากเราพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ทั้งเทคโนโลยี และไอเดียจากคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ เราอยู่นิ่งไม่ได้ 

พระจอมเกล้าฯ บางมด : ระหว่างทำงานที่กำแพงเพชร มีการติดต่อกับต่างชาติมาก จนทำให้เกิดความสงสัยว่า สเป็คของวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องเจอกับทั้งความร้อนและความเย็น ทำไมต้องออกแบบให้เป็นแบบนี้ เขาก็บอกว่าไม่ต้องคิด ทำตามแบบก็พอ, แต่ผมอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ จึงไปเรียนต่อปริญญาโทด้านวัสดุ ที่พระจอมเกล้าธนบุรี บางมด ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของผมในอดีต แต่ตอนนั้นไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะไม่เปิดรับวุฒิการศึกษานอกโรงเรียน, พอทำงานแล้ว ผมเคยติดต่อที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องการทดสอบวัสดุต่าง ๆ และได้ให้การสนับสนุนทางสถาบันด้วย จนได้รับการชักชวนให้มาเรียนปริญญาโทที่นี่ แต่พอเรียนจบแล้ว ก็แทบไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลย เพราะทุกอย่างต้องทำตามการออกแบบ แต่ทำให้ผมมีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ปริญญาโทใบที่สอง : หลังจากทำธุรกิจมาได้พักใหญ่ มีความคิดจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ปัญหาคือ พนักงานบางส่วนที่ไม่คุ้นเคยกับการปรับตัวตามกฎเกณฑ์ มีข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามหลายอย่าง จนเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วย นั่นทำให้ผมนึกถึง ม.ศรีปทุม ถิ่นเก่า จนได้มาเรียนปริญญาโทใบที่สอง สาขาการจัดการ ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ทำไมคนในแต่ละรุ่น เจนต่าง ๆ X, Y, Zมีความคิดแบบไหน เราก็ต้องปรับตัว เพราะสุดท้าย หากให้ลูกน้องปรับตามเรา แต่เขาไม่ปรับตัว แล้วออกไปเลย บางทีเราก็ต้องอะลุ่มอล่วย ปรับตัวเข้าหาเขาให้ได้, จากการไปเรียนครั้งนี้ ผมได้รับผลพลอยได้ที่สำคัญก็คือ มีความเข้าใจลูกมากขึ้นด้วย ทำให้ได้คุยกันมากขึ้น เขากล้าคุยกับเรา ซึ่งก่อนหน้านี้ เราพร้อมคุยกับเขา แต่เขาไม่กล้าคุยกับเรา เพราะมีความแตกต่างในเจนเนอเรชั่นค่อนข้างมาก การไปเรียนในครั้งนี้ จึงทำให้ผมมีความสุขในครอบครัวมากขึ้น 

โลจิสติกส์ : ต้นทุนหลักอย่างหนึ่งของเราคือการขนส่ง เครื่องมือในการก่อสร้าง ต้องอาศัยการขนส่ง สมัยก่อนแก้ปัญหาด้วยวิธีซื้อทุกอย่าง ทำให้เกิดปัญหา ทุนจม การซ่อมบำรุง คนขับรถ ทำให้ผมมาเรียนต่อใน วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ม.ศรีปทุม ในระดับปริญญาเอก เพื่อทำการวิจัยให้ได้คำตอบที่สงสัย เช่นเรื่องการขนส่งเครื่องจักร ทุกอย่างเราไม่ต้องทำเองทั้งหมด อยู่ที่การจัดการบริหาร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ

กีฬาแรกของชีวิต :เรื่องกีฬาตอนเด็กไม่มีเลย เมื่อก่อนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง โดดน้ำคลองอย่างเดียว พอเจอกีฬาปะทะกัน รู้สึกว่าถ้าเจอคนเก่ง เราจะเล่นยาก เห็นเพื่อนบาดเจ็บมาเยอะ พอเข้ามหา’ลัย มุ่งเน้นแต่เรื่องกิจกรรมเป็นหลัก ถ้ามีกีฬาต่าง ๆ ก็ไปร่วมเชียร์ ไม่ถนัดที่จะเล่นเอง จนเมื่อได้เป็นเจ้าของธุรกิจเองแล้ว ช่วงไปทำงานที่ จ.กำแพงเพชร ตกเย็นเห็นเขาไปซ้อมกอล์ฟ ไปดื่ม ไปคุยงาน ซึมซับบรรยากาศนั้นไปด้วย ผมได้จับไม้กอล์ฟครั้งแรกจากที่นั่น แต่ตอนนั้นยังเล่นไม่เป็นเลย พอเปลี่ยนไซต์งาน ย้ายไปขอนแก่น คิดว่าทำอย่างไรถึงจะคุยกับคนที่เราติดต่อได้สะดวกขึ้น กลายเป็นว่า กอล์ฟ เชื่อมธุรกิจได้เยอะมาก จึงตั้งใจกับกอล์ฟอย่างเต็มที่ เริ่มจากตั้งใจว่าต้องมีชุดกอล์ฟเป็นของตัวเอง ผมเดินไปที่ร้านเพื่อซื้ออุปกรณ์ครบชุด โดยไม่ได้ปรึกษาใครเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิ้นไหนคืออะไร ไม่เคยเรียนมาก่อน แล้วเริ่มเข้าสนามไดร์ฟ 

เรียนอัตราเหมา : พอไปสนาม โปรเห็นผมในจังหวะ เก้ ๆ กัง ๆ ก็เข้ามาสอบถาม พอพูดคุยกันถึงวัตถุประสงค์ของผม ก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าคิดค่าสอนเป็นชั่วโมงผม ‘ไม่คุ้ม’ เพราะตีเสียเยอะ, โปรจึงบอกว่า งั้น ‘เหมาเป็นรายเดือน’ ละกัน มากี่ครั้งก็ได้ ผมก็บอกว่า ‘ได้ครับ’ เป้าหมายผมชัดเจน ทุ่มเทให้เต็มที่, พักเที่ยง แวะมาซ้อม แล้วกลับไปทำงาน, เย็นมาอีก วันนึงมาสองรอบ เจ็บปวดขนาดไหน ก็ฝืนไป ให้กล้ามเนื้อรักษาตัวเองจนหาย ทำให้ได้เรียนกับโปรอย่างจริงจัง อาทิตย์นึงต้องมี 5 วัน เข้าสนามกอล์ฟ ซ้อมให้ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้ภายในสองเดือนต้องเล่นเป็น ออกรอบได้ ไปเจอเดี่ยว ๆ กับลูกค้าได้ แล้วก็ทำได้ตามตั้งใจไว้จริง ๆ จนลูกค้าแปลกใจว่า ทำไมพัฒนาเร็ว ผมก็ตอบว่า ‘ซ้อมครับ’

ซิงเกิลแฮนดิแคป : กอล์ฟบิซิเนส จะอยู่ไฟลต์ซี ไฟลต์บี เป็นหลัก เพื่อนเยอะไว้เฮฮา จนถึงจุดนึง มีคนรู้จักแนะนำให้ลองไปอบรมคอร์สต่าง ๆ บ้าง ผมก็กลายเป็นนักเดินสายอบรม แล้วสุดท้ายสิ่งที่เชื่อมสัมพันธ์กันได้มากที่สุดก็คือ กอล์ฟ หรือ นักดื่ม ซึ่งผมเลือกการเล่นกีฬา แล้วก็ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนได้เจอกับรุ่นน้องที่เรียนหลักสูตรเดียวกัน เล่นกอล์ฟเก่งมาก เป็นอดีตนักกอล์ฟเยาวชน แนะนำคอร์สแนะนำโปร ช่วยปรับวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งผมยอมรับได้ แต่ต้องไม่เน้นการเปลี่ยนอุปกรณ์ เพราะเห็นเพื่อนใช้วิธีนี้แต่ไม่ได้ผลมาเยอะแล้ว, เทคโนโลยีเขาเยอะ ชี้ให้เห็นปัญหาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้ แล้วเราเป็นวิศวะ มองเห็นค่าต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขก็เข้าใจได้ จึงบอกไปว่า ทำยังไงก็ได้ ให้ปรับแล้ว ‘ตีไกล ตีตรง’ ผ่านมาราวสองปี ผมขยับขึ้นมาเล่นไฟลต์ซิงเกิลได้, ทั้งนี้เพราะ เราเปิดใจยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ เหมือนกับการทำธุรกิจเลย สุดท้ายก็เห็นผล ประสบความสำเร็จ ทำให้ผมได้รับทุกรางวัลมาแล้วทุกไฟลต์ มีเพียงถ้วยเดียวที่ไม่ได้คือ ‘บู้บี้’ เพราะผ่านจุดนั้นมานานแล้ว

กาย ใจ : มีความชัดเจนของตัวเอง ทั้งเรื่องการกิน การออกกำลังกาย ทุกคนอาจมีช่วงดีมากหรือแย่มากมาแล้ว การออกกำลังกายสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการกิน ถ้าเราคัดกรองไปก่อนจะดีมาก แล้วการออกกำลังกายจะง่ายสำหรับเรา โรคภัยไข้เจ็บจะน้อยลง ทุกคนเห็นผมจะมีภรรยาข้างกายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมตีกอล์ฟแบบอารมณ์ดี ชีวิตครอบครัวมีความสุข กอล์ฟเล่นด้วยกันได้ทุกเพศทุกวัย ภรรยาก็ออกรอบด้วยกันเสมอ ลูกค้าเรามีทั้งผู้ชายผู้หญิง ช่วยกันดูแลลูกค้าได้ สุดท้ายคือการ ‘เสริม’ ซึ่งกันและกัน ทุกคนอยากมีสีสัน มีนักกอล์ฟผู้หญิงอยู่ในก๊วน กำลังใจจะดี และครั้งนึง ผม ภรรยา และลูกสาวสองคน ทั้งครอบครัวออกรอบด้วยกัน คุณพ่อทำ ‘โฮลอินวัน’ ได้ ทุกคนอยู่ในเหตุการณ์ ร่วมแสดงความยินดี นั่นคือความสุขที่สุด ผมพยายามปลูกฝังลูก ๆ ให้รักในกีฬากอล์ฟ แต่ไม่มีการบังคับ อยากให้มีกอล์ฟติดตัวไว้ เหมือนกับ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ทุกอย่างอยู่ในตัว เมื่อตกน้ำก็เอาตัวรอดว่ายน้ำได้ จับจักรยานก็ขี่ได้เลย ถึงเวลาจับไม้กอล์ฟก็เล่นได้ทันที และผมจะเล่นกอล์ฟกับคู่ชีวิตจนเราแก่เฒ่าไปด้วยกัน

ฝันให้ไกล : สุดท้าย ทุกคนต้องมีความฝัน ‘ฝันให้ไกล ไปให้ถึง’ ทุกอย่างต้องหาวิธีทำให้จงได้ แล้วมันจะมาเองโดยปริยาย จากเด็กสวนส้ม ทำสวนมาตลอด จนมาถึงทุกวันนี้เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นผู้บริหาร ผมมองย้อนกลับไปว่า ถ้า ‘วันแรกที่เริ่มคิด แล้วไม่ลงมือทำ จะไม่มีวันนี้ได้เลย’ ครับ.