รองศาสตราจารย์กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์
รองศาสตราจารย์กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์
คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“ต้องมีเมตตากับคนที่เป็นผู้น้อยกว่า”
“ทับเอ๋ยทับแก้ว มาอยู่แล้วเจ้าเห็นเป็นไฉน
ทับ นั้นหรือคือบ้านสำราญใจ ทับมิใช่ถมทับให้ยับเยิน
ส่วนคำ แก้ว รู้แล้วหรือมิใช่ ว่าดวงใจดวงตาน่าสรรเสริญ
ยังหย่อนร้อยเพียงคู่ดูบังเอิญ ลืมอัญเชิญสูรย์จันทร์นั้นลงมา
ถึงปลายปีอย่าให้มีดาราร่วง ใจเป็นห่วงเหตุการณ์ด้านเวหา
อาทิตย์เคลื่อนเดือนดับลับเมฆา ดวงดาราอย่าคล้อยตามห้ามไว้เอย”
ศาสตราจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร แต่งให้ด้วยความเป็นห่วงลูกศิษย์ ทำให้เกิดความประทับใจ ไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ซึ่งพวกเราเป็นนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์รุ่นแรกของศิลปากรทับแก้ว เข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2511 เป็นการขยายวิทยาเขตจากวังท่าพระ มาพระราชวังสนามจันทร์ ทำให้เห็นภาพของทับแก้ว ตั้งแต่แรกจนถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง มีตึกรามเยอะแยะแบบในปัจจุบัน ถึงแม้พวกเราทั้ง 98 คน และมีผู้ชายแค่ 14 คน เท่านั้น มากันจากทุกถิ่นที่ แต่ก็สนิทเหมือนเป็นญาติ เวลาฝนตก ไฟจะดับ ไม่มีน้ำใช้ สุภาพบุรุษลงไปตักมาให้ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกัน พวกเราผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ จนได้รับพระราชทานปริญญาบัตรที่วังท่าพระ จากพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 …
เด็กเมืองกรุง : เรียนที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ยานนาวา เป็นบ้านของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ไม่เคยจากบ้านไปไหนเลย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกคณะอักษรศาสตร์ แต่ด้วยบุญบางอย่างคงทำให้ได้มาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่เด็กฝันว่าได้ขึ้นบันไดนาคมาตลอด ตอนแรกคิดว่าจะสอบติดที่เชียงใหม่ วันใกล้จะสอบ คุณพ่อมาพากราบที่นี่ พอขึ้นไปไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ รู้สึกตัวว่าขนลุกซ่าไปหมด เหมือนคุ้นเคย จำได้ ฝันบ่อย เกือบทุกวัน (หัวเราะ) ทั้งที่ไม่เคยมา ตอนหลังมาพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พอเห็นก็คุ้น ๆ อีก (หัวเราะ)
คิดถึงบ้าน : ร้องไห้ทุกวัน (หัวเราะ) ใจหายที่ต้องห่างพ่อแม่พี่น้อง เพราะอยู่ด้วยกันมาแบบอบอุ่น นึกไม่ออกว่าจะต้องมาอยู่กับใครบ้าง จะอยู่กันยังไง แต่ต้องนับว่า ครูบาอาจารย์รักพวกเราเหมือนลูกหลาน วันแรกหิ้วกระเป๋านั่งรถบัสมาจากวังท่าพระ ผู้ปกครองมาด้วย พอถึงที่นี่ก็ตกใจ เพราะเห็นมีอยู่แค่ตึกเดียว ถนนเป็นลูกรัง อาคารจอดรถหลังคามุงจาก ทุกคนมองหน้ากัน นึกไม่ถึงภาพนี้ (หัวเราะ)
อาคาร A1 : พวกเราแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ มีอาจารย์คอยดูแล มี ‘อาคาร A1’ เป็นทุกอย่างสำหรับเรา (หัวเราะ) กิน นอน เรียน ทำงาน เมื่อห้องเรียนไม่พอ ต้องเดินไปเรียนที่พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ เวลามีแขกสำคัญมา ก็แปลงโฉมห้องสมุดเป็นที่รับแขกกว้าง ๆ แล้วให้ทุกคนมามีส่วนร่วม พวกเราจึง ‘เข้าสังคมเป็น’ จากกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ไม่ตื่นกลัวผู้คน มีไมตรีจิตกับคนทั้งหลาย ฝึกให้ทำงานเป็น สอนให้รู้จักการสมาคมในลักษณะเป็นสากล จัดให้รับประทานอาหารแบบตะวันตก บนโต๊ะอุปกรณ์เต็มไปหมด เราก็ไม่รู้จัก (หัวเราะ) ท่านก็ไม่ได้สอนโดยตรง แต่ให้ใช้ไหวพริบ คอยสังเกต พอท่านหม่อมหลวงปิ่นหยิบอันไหน พวกเราก็หยิบตาม (หัวเราะ) วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (วันวชิราวุธ) ก็ช่วยงานกันเต็มที่ทุกคน
เรียนเด่น เน้นกิจกรรม : พวกเรานิสัยคล้าย ๆ กัน คือ ชอบกิจกรรม แต่เรียนก็เรียน เพราะการทำกิจกรรมทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เวลาที่เราไปทำงานกันจริง ๆ ในชีวิต วิชาการที่เรียนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ใช้งาน แต่การอยู่กับผู้คนที่มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ถือว่าทับแก้วฝึกฝนมาดีมาก มีทักษะ มีไมตรีจิต รู้จักทักทาย มีความเป็นมิตร ท่านหม่อมหลวงปิ่น ยังสนับสนุนการกีฬา พอวันเสาร์ อาทิตย์ ที่ไม่มีการเรียน จะให้ครูจากกรมพลศึกษามาสอน ใครชอบว่ายน้ำ ก็ไปสระน้ำของ ภปร. ใครชอบต่อสู้ ก็เรียนเทควันโด สมัยโน้นเราก็เรียน รู้สึกว่าสนุกดี (หัวเราะ) กีฬาบางอย่างอาจสูญหายไปแล้วอย่าง ‘ราวเดอร์’ ก็ได้ฝึก กิจกรรมต่าง ๆ ที่ท่านให้พวกเรา จนรู้สึกว่าติดตัวคือการ ‘เรียนกับเล่น’ นั้นคู่กัน จนกระทั่งบางทีท่านก็ห่วง รู้สึกว่ากิจกรรมเยอะ จะมีเวลาดูหนังสือมั้ย เวลาท่านมาหาพวกเรา ก็มักจะมีผลไม้ ของกินติดมาฝากด้วย อยากให้ท่านมาบ่อย ๆ (หัวเราะ) ทุกคนรักท่าน มาทราบจากคณาจารย์ว่า ท่านเป็นห่วงพวกเรามาก จำชื่อได้ทั้งนั้น ‘เอาลูกเขามาจากที่ไกล ๆ ก็ต้องดูแลให้ดี’

ดนตรี ศิลปะ : เรียนไวโอลินมาตั้งแต่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย อาจารย์ทางนี้ก็สนับสนุน ไม่อยากให้ทิ้งเรื่องดนตรี เมื่อเข้ามาเรียน ช่วงพัก อาจารย์เจตนา (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ) เห็นว่าพวกเราจะหงอยเหงา ก็ตั้งวงดนตรี ‘เจตนารมณ์’ ขึ้น และเคยเล่นถวายงานหรือแสดงให้กับบุคคลสำคัญเวลามาเยือน พวกเราต้องทำหน้าที่ครบหมดทุกคน นักร้องส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อน ๆ ที่อาจารย์ฝึกให้ร้องเพลงสุนทราภรณ์ ทำให้มีอารมณ์ ความรู้สึก ส่วนตัวเองมักจะเล่นไวโอลิน เว้นว่าบางครั้ง อาจารย์อยากให้ออกมาร้องบ้าง ก็เป็นนักร้องด้วย เพลงประจำตัวคือ ‘ฝากลมวอน’
มุ่งมั่น : ตอนเรียนจบปริญญาตรีจากศิลปากร คิดอยากเป็นครูอย่างเดียวเลยค่ะ (หัวเราะ) แล้วมีเพื่อนคุณแม่เคยบอกไว้ว่า ต้องสอนเด็กโตนะไม่ใช่เด็กเล็ก (หัวเราะ) จากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้อยู่ทับแก้ว มองเห็นอะไรบางอย่าง คิดว่าที่นี่ก็สอนมาดีแล้ว จบเอกภาษาไทย เป็นคนรักชาติ (หัวเราะ) โท ประวัติศาสตร์ กับ ภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่ายังไงเราก็ต้องรู้ ซึ่งเป็นการผิดการคาดหมายของครูเช่นกัน เพราะมีความชอบในเรื่องภาษาฝรั่งเศส ตอนนั้นก็พูดได้ดี จนกระทั่งอาจารย์เจ้าของภาษายังชม คิดว่าเราคงต้องเลือกเป็นวิชาเอกหรือไม่ก็โท ซึ่งเรียนมาตั้งแต่ ม.7 – ม.8 เข้า ปี 1 – ปี 2 ก็เรียน พอปี 3 ที่จะเลือกชัดเจน เราตัดสินใจเลือกภาษาไทย (หัวเราะ) ถึงจบปริญญาตรีแล้ว แต่ถ้าหากว่าจะสอนคนที่โตขึ้นไปอีก ต้องเรียนต่อ ก็ไปสอบเรียนปริญญาโท ที่จุฬาฯ คณะอักษรศาสตร์ เลือกภาษาไทย แต่ชอบในเรื่องจินตนาการสร้างสรรค์ ถนัดมากกว่าหลักภาษา จึงเลือกวรรณคดี และตั้งใจกลับมารับราชการ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเข้าได้หรือไม่ อาจเป็นดวงชะตา (หัวเราะ) มากราบพระพิฆเนศ พอดีมีประกาศสอบสมัครงานที่ศิลปากร แต่ต้องเข้ามาในวุฒิปริญญาตรีก่อน เพราะตอนนั้นยังไม่จบโท ยังทำวิทยานิพนธ์อยู่ พอจบก็ปรับวุฒิ เข้ามาเป็นอาจารย์
ครูมัธยม : ระหว่างช่วงทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘ศรีธนนชัย’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ไปสอนที่ สตรีประเทืองวิทย์ เนื่องจากอาจารย์ที่คุมวิทยานิพนธ์ท่านต้องกลับไปต่างประเทศ เราก็ต้องส่งไปให้ท่านตรวจ กว่าจะเรียบร้อยต้องใช้เวลาพอสมควร เลยคิดว่าจะไปสมัครสอนก่อน ครั้งแรกจะไปสมัครสอนที่มหาวิทยาลัยเกริก พอดียืนอยู่กับคุณแม่ที่สี่แยกหัวมุมถนนราชดำเนิน รถบัสวิ่งผ่านมา แล้วเห็นข้อความด้านข้างว่า ‘ความรู้ทำให้องอาจ’ ก็ประทับใจ จนไปสมัครสอบ ซึ่งไกลจากบ้านเรามาก (หัวเราะ) ระหว่างรอผล พอดีทราบว่าสตรีประเทืองวิทย์เปิดรับสมัคร พอไปสมัครเขาก็รับเลย เราก็ตัดสินใจเลือก เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทางโน้นจะได้หรือไม่ แต่พอกลับบ้าน มีโทรศัพท์มาแจ้งว่าเราสอบได้ ก็ต้องบอกไปว่าเสียดายที่ส่งข่าวช้า แล้วเราเป็นคนไม่ผิดสัจจะ รับปากแล้ว ต้องทำตามนั้น สอนอยู่ราว 2 – 3 ปี ทำให้มีประสบการณ์กับเด็กมัธยม ที่มีความแก่นเซี้ยว จากเคยโดนลองของ ในที่สุดก็ปราบเด็กเกเร จนเป็นเพื่อนกับเขาได้ (หัวเราะ)
อาจารย์มหา’ลัย : มีเป้าหมายว่าจะสอนในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นที่ไหน บังเอิญว่าสอบที่นี่ได้ รู้สึกดีใจ เป็นอย่างนิมิตฝันที่ได้ขึ้นองค์พระทุกวัน แล้วก็เป็นจริงตามนั้น ไปทุกวัน เซียมซี เสี่ยงจนได้ทุกใบ (หัวเราะ) คุณตาที่ขายดอกไม้ธูปเทียนจำได้ พอมารับราชการ ก็ทักว่า มาแล้วหรือคุณหนู (หัวเราะ) คณะอักษรศาสตร์ เปิดวันที่ 20 มิถุนายน ตัวเองบรรจุเข้างานวันเดียวกัน คิดว่าก็ดีเหมือนกัน ที่ได้เป็นตัวแทนเพื่อนรุ่น 1 ได้มาทำอะไรในความกตัญญูต่อสถานที่ ที่ให้ความรู้ ความสุข ให้ชีวิตที่ดีงามกับเรา อาจเป็นดวงชะตา จึงได้อยู่มายาวนาน มีบ้านอยู่ที่นี่ ได้เห็นพัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลง ทั้งผู้คนและสถานที่
รับราชการ : ตั้งแต่ปี 2520 ในคณะอักษรศาสตร์ อยู่ภาควิชาภาษาไทย เคยเป็นหัวหน้าภาควิชาภาษาไทยอยู่สมัยนึง งานส่วนใหญ่ทำถวายกิจการพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งที่เป็นกรรมการของท่านหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในกรรมการที่รวบรวมค้นคว้าพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ที่จะต้องรวบรวมไปประชุมกันที่หอวชิรวุธานุสรณ์ และทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ เป็นกรรมการในสมเด็จพระเจ้าภคิณีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ ท่านหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล กับท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล เป็นรองประธานฯ
ประสบการณ์ล้ำค่า : ทางภาควิชาภาษาไทย ได้เปิดชั้นปริญญาโท ระดับมหาบัณฑิต มีรายวิชาเกี่ยวกับการสัมมนาของพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางภาควิชาได้มอบหมายให้ไปดูแลนักศึกษาไปเรียนที่วังท่าพระ ทำให้ตัวเองได้ความรู้อีกแง่มุมนึง นอกจากเรื่องเสือป่า คือเรื่องพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านอย่างลุ่มลึก นอกเหนือจากการได้เป็นกรรมการรวบรวมค้นคว้าพระราชนิพนธ์ เพราะการสอนของท่านหม่อมหลวงปิ่น ถ้าใช้คำพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ท่านรู้สึก ‘อิน’ แล้วถ่ายทอดมาจากจิตวิญญาณ ไม่ได้มาจากความจำ ได้รับสิ่งดี ๆ ในหลายแง่มุม เกี่ยวกับเรื่องพระราชปณิธานอันลึกซึ้งของในหลวงรัชกาลที่ 6 ว่าพระองค์ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

วรรณคดีวิจารณ์ : ได้สอนวิชานี้ เป็นการสะท้อนชีวิตของมนุษย์โดยผ่านตัวอักษร เลยเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ว่าทำไมทรงโปรดที่จะถ่ายทอดทางวรรณคดี ด้วยพระอัจฉริยะภาพของพระองค์เป็นพิเศษ ในความเป็นกวีอยู่ในจิตวิญญาณอย่างลุ่มลึก วรรณคดีจึงเป็นเครื่องที่ทำให้เรามองเห็นบุคคล ทั้งดี ทั้งชั่ว ทำให้ต้องเลือกว่า เมื่อถึงตอนนั้นควรจะเลือกใคร การตัดสินใจของตัวละครมีผลแบบนั้น แล้วถ้าเป็นเราตัดสินใจอีกอย่างจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และในบทละคร ยังได้ซ่อนอะไรบางอย่าง ถ่ายทอดให้กับประชาชนได้รู้จักอันโน้นอันนี้ อะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งหากมัวแต่ไปพูดปาฐกถานั้นไม่ได้ แต่ถ้าซึมซับผ่านความบันเทิงย่อมทำได้ดีกว่า
สปท. : ก็ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลมากนัก (หัวเราะ) แต่คงเห็นว่าเราสนใจในเรื่องนี้ ‘สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย’ มีปณิธานอยากจะเชิดชู วงการฟุตบอล และอยากให้รู้รากเหง้าของความเป็นมาว่ากีฬาฟุตบอลมีความสำคัญอย่างไรบ้าง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หรือแห่งกรุงสยามในครั้งโน้น ทรงฝึกฝนผู้คนให้เล่น จากที่เป็นลูกเสือป่าแล้ว พระตำหนักทับแก้วที่อยู่ในพระราชวังสนามจันทร์ นายกสมาคมฟุตบอลหลาย ๆ คน ซึ่งทำหน้าที่ต่อจากพระองค์ ก็มาทำการอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่ ดังนั้น พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลสยามเดิมก่อนที่จะมีการบูรณะจึงอยู่ที่นั่น ทำให้เห็นว่า พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับฟุตบอลของพระองค์ มีความสำคัญ
สุขภาพกาย : ไม่ได้เก่งเรื่องการกีฬา (หัวเราะ) แต่ในการตรวจตราพระราชฐาน ต้องใช้การเดินมาก ทำให้แข็งแรง และใช้วิธีการออกกำลังกายแบบครูพักลักจำ เคยเห็นอาแปะท่านหนึ่งรำมวยจีน ประทับใจมาก ก็ไปรำกับเขา แล้วมาทำเองที่บ้าน เอาเท่าที่จำได้ ไม่ต้องเป๊ะ ๆ (หัวเราะ) ที่ชอบอีกอย่างคือการชกมวย แต่ไม่ได้ชกกันจริง ๆ นะคะ (หัวเราะ) เป็นการชกลม ไม่ได้เรียน แต่ชอบ (หัวเราะ) เทควันโด้ ก็เคยเรียนมาบ้าง เป็นการฝึกหัดการป้องกันตัว
กระบี่กระบอง ชอบ แต่ไม่ได้ทำเอง สนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้เรียน เราอาจเคยเป็นนักรบมาก่อนก็ได้ (หัวเราะ) รู้สึกลีลาของกระบี่กระบองมีความสำคัญ เวลาไหว้ครูก่อนจะต่อสู้ก็ชอบ รู้สึกสวยงามเป็นศิลปะ แล้วส่วนตัวก็ไม่ค่อยถูกกับยาฝรั่ง (หัวเราะ) ถ้าไม่สบาย จะหาย ก็หายด้วยยาไทย แต่ก็ไปหาหมอตามปกติ บริหารเรื่องสมองบ้าง ดูแลสุขภาพตามวัยตามสมควร
สวดมนต์ ภาวนา : ฝึกมาตั้งแต่เด็ก พื้นฐานที่บ้านเป็นมาแบบนี้ หลวงลุง เป็นเลขาฯ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ต่อมาคุณพ่อก็บวชที่วัดบวรฯ ด้วย เราจึงมีความคุ้นเคยและผูกพันกับการไปวัด เข้าเฝ้าพระผู้ใหญ่ การภาวนา เป็นสิ่งธรรมชาติของตัวเอง การฝึกจิตที่ดี จะทำให้พลังส่งผลถึงกาย และส่งผลถึงการจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่เราก็ไม่สามารถบอกใครได้ การดูแลพระราชฐาน หรือการทำงานเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือบุคคลที่ได้ล่วงลับไปแล้ว บางทีการสื่อสารบางอย่างต้องอาศัยการสื่อสารทางจิต ถ้าจิตไม่มีความมั่นคง ไม่มีสมาธิพอ การจะรับพลังอย่างนั้น ไม่ใช่สิ่งง่าย และเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถจัดการกิจธุระ ให้เป็นไปตามที่สมควรจะเป็น อันเหมาะอันควร ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ตัวเองทำสมาธิมานาน ไปเรียนกับครูบาอาจารย์มาหลายท่าน ทำให้มีความเข้าใจ ตื่นตีสี่ สวดมนต์ภาวนา ปฏิบัติเองอยู่ที่บ้านทุกวัน ถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ
สมาธิ : ยังโยงไปถึงเรื่องการกีฬา เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดสมาธิ ถ้าครูที่สอนกีฬา มองให้เป็น จะทำให้ทุกก้าวย่างของกีฬา เกิดพลังจิตขึ้นมาได้ แม้กระทั่งกอล์ฟ พบว่ามีลักษณะที่น่าสนใจ ทั้งรูปแบบ ท่วงท่า และความลุ่มลึกในการเล่น กีฬาแต่ละชนิดจะมีความหลากหลายไม่เหมือนกัน ต่อไปทางศึกษาศาสตร์ อาจจะก้าวข้าม ใช้เรื่องสมาธิฝึกให้เด็กได้มีคุณสมบัติที่ดีติดตัวไปด้วย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวเองประจักษ์ในส่วนนี้แล้ว เพราะการเดิน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต ต้องสัมพันธ์กัน โมโหให้เป็น : เวลาโมโห ต้องดูคนเหมือนกัน ว่าสมควรจะให้เขารู้หรือไม่ (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องรู้ตลอดไป เพราะบางที เราก็ต้องนิ่ง การทำงานของคนมีหลายแบบ แต่ละคนอาจพลั้งเผลอไปโดยไม่ได้คิดก็ได้ หรือบางทีถ้าบอกมาก ๆ ซ้ำ ๆ ถ้าเราไม่แสดงว่าโมโห เขาก็จะไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะตัวเอง อาจไม่เหมือนกับคนอื่น เวลาพูดอะไรออกไปด้วยความโมโห เคยมีคนบอกเหมือนกันว่า นี่ ‘โมโหแล้วหรือ’ (หัวเราะ) อย่างทุกวันนี้มิจฉาชีพเยอะมาก เราก็ต้องโมโหเพื่อให้เขารู้ว่า อย่ามาทำบาปกับเรา เราต้องมีเมตตากับคนที่เป็นผู้น้อยกว่า มีบางอย่างที่เขาอาจยังไม่รู้ เราต้องให้โอกาส ช่วยอะไรเขาได้ ก็ต้องช่วย เพราะแต่ละคนมีกรรมไม่เหมือนกัน เมื่อมีเรามีโอกาสดีกว่า ก็ควรเกื้อหนุนคนที่ช่วยให้เขาดีขึ้นได้ ให้เขาได้มีโอกาสได้ทำบุญบ้าง สิ่งที่พระพุทธเจ้าประธานให้กับมวลมนุษยชาติสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่า เราจะใส่ใจแค่ไหน ตัวเองตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้าได้ทำหน้าที่ดีแล้ว ก็ขอ ‘นิพานัง ปรมัง สุขัง’ ค่ะ
