‘ค่าผู้ติดตาม’ หลงตำหนิสนามกอล์ฟ ที่แท้มาจากกรมสรรพสามิต
‘ค่าผู้ติดตาม’ หลงตำหนิสนามกอล์ฟ ที่แท้มาจากกรมสรรพสามิต
ผมเพิ่งทราบ และคงมีผู้คนมากมายที่อยู่กับวงการกอล์ฟที่ไม่ทราบ หลงตำหนิสนามกอล์ฟทั้งหลายว่า
มาจัดเก็บผู้ติดตามที่ลงไปในสนามกอล์ฟ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ จะเป็นพ่อแม่ จะเป็นโค้ช หรือแฟน แทบจะทุกสนาม ไม่เว้นแต่สนามของทหาร
ผมได้ทราบความจริง หลังจากได้ไปที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง พูดคุยกับผู้จัดการสนามเรื่องผู้ติดตามว่า ทำไมสนามถึงต้องมาเก็บหารายได้กับผู้ติดตาม แทนที่จะเป็นการส่งเสริมเด็กๆ เยาวชน
เด็กๆ เยาวชน ที่อายุยังน้อยปัจจุบันผู้ปกครองหันมาเล่นกอล์ฟกันเพิ่มมากขึ้น ต้องลงไปฝึกซ้อม เพื่อพัฒนากันต่อเนื่อง ผู้ปกครอง หรือโค้ชก็ต้องลงไปติดตามดูเพื่อสอนและดูแลความปลอดภัย ต้องเสียค่ากรีนฟี เสียค่าแคดดี้ เสียค่ารถกอล์ฟ เสียค่าทิป และยังต้องมาเสียค่าผู้ติดตามอีก
ผู้จัดการบอกว่า ”โปรผมก็ไม่อยากจะเก็บหรอกครับ แต่กรมสรรพสามิต ของรัฐบาลไทย ได้มีหนังสือเป็นคำสั่งมาให้เก็บ“ พร้อมเอาหนังสือบันทึกข้อความที่กรมสรรพสามิต สำนักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี 2 มาให้อ่าน
ก็เห็นจริงตามที่ผู้จัดการบอก เลยทำให้รู้ความจริงว่า การเก็บผู้ติดตามที่ลงไปสนามกอล์ฟนั้น เป็นคำสั่งมาจากกรมสรรพสามิต เป็นผู้ให้จัดเก็บ โดยมีข้อความคัดมาบางส่วนว่า
…กรณีผู้ติดตามผู้ใช้บริการสนามกอล์ฟมีการติดตามลงไปในสนามกอล์ฟ แม้มิได้เล่นกอล์ฟ ก็ถือเป็นการใช้บริการสนามกอล์ฟที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต โดยผู้ประกอบกิจการสถานบริการสนามกอล์ฟ ต้องแจ้งราคาค่าบริการ ตามแบบแจ้งราคาค่าบริการ ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560(ภส. 02-02) และหากผู้ประกอบกิจการสนามกอล์ฟไม่มีการแจ้งราคาค่าบริการให้ใช้ฐานราคาเดียวกับแค๊ดดี้ที่ลงไปในสนามในช่วงเวลาการใช้บริการสนามกอล์ฟมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิต
ผมมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีถึงจะอธิบายให้ครบถ้วนตามความคิดและความรู้สึก ถึงแนวคิดของผู้บริหารที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ มีหน้าที่จัดการเพื่อบริการประชาชน เยาวชน ซึ่งแนวคิดที่เคยได้ยินมาคือ ”คนเล่นกอล์ฟคือคนรวยทั้งหมด เมื่อมาเล่นกอล์ฟได้ก็เก็บจากคนพวกนี้แหละ เรียกเก็บกับสนาม สนามก็ไปเรียกเก็บกับคนมาเล่นกอล์ฟ“
เมื่อแนวคิดเขาเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่สนใจเหตุผลอื่นใดทั้งหมด ฉันจะต้องทำหน้าที่ของฉันโดยเก็บภาษีให้ได้มากที่สุด ไม่ต้องสนใจห่…เหวอะไร จะเป็นเด็ก เป็นเยาวชน มีปัญญาเล่นกอล์ฟได้ พ่อแม่คงรวย เก็บๆไปเหอะ
ต้องถามว่าภาษีที่เก็บเหล่านี้เอาไปทำอะไร เคยสนใจหันมาพัฒนาเด็กๆ เยาวชนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนาดูแลประเทศต่อไปแค่ไหน ภาษีส่วนหนึ่งไปเป็นเงินเดือน(สูงๆ)ให้พวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้บริหารประเทศ ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง คิดปีหนึ่งๆ เป็นหมื่นๆล้าน แล้วเด็กๆ เยาวชน โดยเฉพาะคนในชนบทได้รับการดูแล ได้รับการพัฒนาแค่ไหน อย่างมากก็ให้เรียนในระบบ ในโรงเรียนประชาบาล เรียนให้จบหลักสูตรการศึกษา แล้วก็ไปเป็นแรงงาน ลูกจ้างให้กับคนทำธุรกิจที่มีเงินต่อไป
ที่ต้องเอามาพูดเพราะเหตุผลที่ว่า อย่าตีความเอาว่า คนเล่นกอล์ฟคือคนที่ต้องมีเงินเท่านั้น ควรให้โอกาสเด็กๆที่ไม่ได้เป็นลูกคนรวยบ้าง ให้เขาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ใช้เขาได้ใช้กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาออกกำลังกาย ให้เขามีโอกาสใช้กีฬากอล์ฟประกอบอาชีพ ทำไมไม่ช่วยทำให้กีฬากอล์ฟจับต้องง่ายขึ้น สนามของคนรวยเขาก็มีอยู่แล้วที่ต้องเสียค่าสมาชิกเป็นล้านๆ เสียค่าเข้าเล่นหลายๆ พัน แล้วทำไมไม่มีสนามให้เด็กต่างจังหวัด เด็กที่พ่อแม่รายได้น้อยได้เล่น สร้างข้อยกเว้นอะไรขึ้นมาให้มันสมเหตุสมผล เกิดประโยชน์
อย่าบอกว่า ไม่มีเงินก็ไปเล่นฟุตบอล ไปวิ่งเล่น ไปตีแบด ไปว่ายน้ำ สิ มาเล่นกอล์ฟทำไม
กอล์ฟก็คือกีฬา เป็นกีฬาเศรษฐกิจ เป็นกีฬาที่เล่นได้จนอายุมาก เป็นกีฬาที่เล่นแล้วไม่เป็นอันตราย เป็นกีฬาที่เด็กๆ ได้มีโอกาสรับทุนเรียนต่อ เป็นกีฬาที่สามารถเล่นเป็นอาชีพได้ ปีหนึ่งๆ รายได้เข้าประเทศจากกีฬากอล์ฟมากเท่าไร แต่ไม่ได้สนใจเอามาต่อประโยชน์ได้อย่างไร
ผู้คนที่มีคุณภาพ ประเทศที่มีคุณภาพ เขามีวิสัยทัศน์กับกีฬากอล์ฟ เขาเอากีฬากอล์ฟเป็นหน้าตาของประเทศ ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศที่เล็กแต่มีสนามกอล์ฟ 12 สนาม ในพื้นที่ที่เป็นทำเลทองใกล้สนามบินเขายังมีสนามกอล์ฟ แต่ไอ้คนของประเทศเรา ผู้บริหารประเทศเรามันเป็นอะไร จะยุบเอาสนามกอล์ฟกันอย่างเดียว พื้นที่สวนสาธารณะ สนามกีฬาไม่ใช่ไม่มีความสำคัญ แต่ผู้คนมีสนใจออกกำลังกาย ไปวิ่ง ไปเดินกันมากน้อยแค่ไหน สนามกีฬาแต่ละแห่งไปดูได้เลยว่ามีคนไปใช้บริการเท่าไร มีแบบล้นไหม ไอ้คนที่พูดว่า สนามกอล์ฟมีประโยชน์กับคนกลุ่มน้อย กับคนมีเงินเท่านั้น ถามว่าคนพูดเคยไปออกกำลังกายไหม
บ้านเราองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย ผมกล้าพูดเลยว่า เป็นพวกรับใช้นักการเมือง คอยให้นักการเมืองสั่งเอางบประมาณไปทำตามใจ ตัวองค์กรเองไม่เคยเก็บข้อมูล ไม่เคยทำวิจัย ไม่เคยต่อสู้ให้เห็นว่า กีฬามีความสำคัญทุกประเภท ควรมีการส่งเสริมให้ผู้คนมีทัศนคติ มีเจตคติ สนใจออกกำลังกายและเล่นกีฬากันให้มาก ไม่ใช่แต่สนใจแต่ภาคธุรกิจอย่างเดียว
พูดก็พูดเหอะ นักการเมือง พรรคการเมือง ส่วนมากไม่ใช่คนชอบออกกำลังกาย ไม่ใช่คนเล่นกีฬา ส่วนบางคนที่เป็นนักกีฬา หรือออกกำลังกายก็จะบอกว่า ที่ตัวเองทำอยู่นั้นดี ส่วนคนอื่นที่เล่นกีฬาอย่างอื่นอยู่นั้นไม่ดี จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนสนใจเรื่องกีฬา การออกกำลังกายอย่างจริงจัง บ้านเมืองเราโรงพยาบาล หมอจึงมีความสำคัญ ขาดแคลน แต่ครูพลศึกษา นักกีฬา จึงไม่มีความสำคัญต่อสังคมมากเท่าไร ไม่จำเป็นต้องมี
ประเทศศิวิไลซ์ เขาให้ความสำคัญกีฬา เย็นขึ้นมาเฝ้าหน้าจอทีวีดูกีฬาหลากหลายชนิด วันหยุดไปดูไปเชียร์กีฬา หลังเลิกงานออกกำลังกาย นักกีฬามีรายได้ เลี้ยงชีพได้ และผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับเด็กๆ เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาไหนก็แล้วแต่ ยิ่งถ้าเป็นกีฬากอล์ฟแล้ว เด็กๆ จะได้รับการดูแล เกื้อกูลอย่างดียิ่ง
ทุกวันนี้ผมสร้างนักกีฬา เราต้องสนับสนุนกันเอง พ่อแม่ต้องลงทุนกันเอง เป็นการลงทุนที่สูง มีผู้ใหญ่ใจดีอยู่บ้างแต่ก็น้อย สนับสนุนเป็น กลุ่ม แต่ที่จะทำเป็นนโยบาย เป็นหลักการของประเทศแล้วยังไร้ซึ่งความหวังจริงๆ
พูดไป บ่นไป ก็ไม่มีผลอะไร ถ้าท่านๆจะช่วยกันให้เสียงเราดังมากขึ้น ไม่เป็นคลื่นกระทบฝั่ง ก็ช่วยแชร์ ช่วยกันคอมเม้นท์กันให้มากๆ เผื่อจะมีผลอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ
เชาวรัตน์ เขมรัตน์