ณัฏฐพล ทัศดรกุลพัฒน์
ณัฏฐพล ทัศดรกุลพัฒน์
หจก.โรงน้ำแข็งหนองคายสายฝน
“ทุกคนย่อมมีเหตุมีผล แต่จะถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่อง”
สะพานมิตรภาพ : ผมเป็นคนหนองคาย ตั้งแต่กำเนิดเลยครับ อยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว บริเวณที่ผมอาศัยอยู่ ถือว่าเป็นชานเมือง เป็นทุ่งนา ไม่เคยคิดว่าจะมีสะพานตรงนี้ด้วย (หัวเราะ) หลังจากนั้น หนองคาย ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ก็เปลี่ยนไปเยอะมาก เศรษฐกิจ ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเยอะมาก ทั้งคนต่างชาติและคนไทยที่จะข้ามไปเที่ยว ค้าขาย กลายเป็นว่า คนพื้นถิ่น ปรับตัวไม่ค่อยทัน เพราะจากจังหวัดที่ไม่ค่อยมีอะไรเลย กลายเป็นมีความสำคัญขึ้นมาแบบทันทีทันใด ทำให้เศรษฐกิจเกิดการช็อคไประยะนึง เพราะไม่คิดกันว่าจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดนี้ แต่คนที่เข้ามาทำธุรกิจก็มักเป็นจากถิ่นอื่น อย่าง จ.อุดรฯ ซึ่งเขามีพื้นฐานมายาวนานกว่า
โรงน้ำแข็ง : คนพ่อทำงานในโรงน้ำแข็งร่วมกับคุณปู่ที่เคารพนับถือ ท่านคนกรุงเทพฯ ให้ความเมตตาก่อตั้งโรงน้ำแข็งแห่งแรกของหนองคาย น้ำแข็งในยุคนั้นถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ เป็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ยังขายไม่ดี เพราะคนยังไม่ค่อยรู้จัก พอเปิดได้ไม่นาน ก็มีอีกโรงมาเปิดใกล้ ๆ และกลายมาเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้เป็นคู่แข่ง สลับกันเปิดวันเว้นวัน วันคู่ วันคี่ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก เพราะตั้งแต่จำความได้ คุณพ่อก็ทำงานในโรงน้ำแข็งแล้ว พอเริ่มโตผมก็เข้าไปช่วย ตอนแรกไปเก็บเงิน ไปกวาดพื้นโรงงานให้สะอาด ส่วนพี่ชายกับน้อง จะชอบเก็บเงิน ขณะที่ผมไม่ชอบนั่งโต๊ะ ชอบไปส่งน้ำแข็งกับพนักงาน ชอบคลุกคลีกับพนักงาน เป็นการเล่นสนุกมากกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาดูแลธุรกิจนี้ เพราะเป็นงานที่เหนื่อยมาก ยิ่งพอได้ไปเรียน ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากเหนื่อยเหมือนพ่อ (หัวเราะ)
กิจกรรมบ้านทุ่ง : สะพายหนังสติ๊กไปทุ่งนา ตกปลา ยิงกะปอม (หัวเราะ) ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ยิงเล่น แต่เพื่อเป็นอาหารจริง ๆ นี่เป็นวิถีชีวิต การทำมาหากินอย่างหนึ่งของเด็กบ้านนอก เมนูเด็ด คือ ก้อยกะปอม (หัวเราะ) พอเข้าโรงเรียนตอนประถมผมตัวผอม ๆ แต่ชอบเล่นกีฬา เป็นนักวิ่งระยะสั้นและวิ่งข้ามรั้ว ได้เหรียญตลอด และเคยเล่นฟุตบอลด้วย ตอนเรียนมัธยม เคยเข้าไปคัดตัวนักวิ่งเยาวชนทีมชาติ เพราะสถิติได้ แต่ไม่ติด (หัวเราะ)
ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยฯ : คุณปู่เคยอยู่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง คุณพ่อก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือจะได้ไม่ลำบากเหมือนท่าน จึงส่งพี่ชาย และผมไปเรียนที่ ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยฯ ซึ่งผมสบายมาก เพราะตั้งแต่เด็กก็เรียนที่ ดอนบอสโก จ.อุดร มาตลอด ทำให้คุ้นเคยกับการอยู่โรงเรียนประจำ, ที่นี่ทำให้ผมมีระเบียบ มีวินัย มีความรับผิดชอบ เด็กทุกคนต้องทำตามที่โรงเรียนกำหนดไว้ ส่วนการเรียนก็ไม่มีปัญหา เพราะเน้นในเรื่องการเข้ากลุ่ม การเข้าร่วม แล้วยังได้เล่นรักบี้ ได้เป็นทีมของโรงเรียน เล่นอยู่หลายปี อาศัยพื้นฐานที่เคยวิ่งเร็ว ตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นใหญ่ ซึ่งผมเรียนจบมัธยมปลาย ในหลักสูตรพิเศษ ทำให้เรียนชั้น ม.ปลาย จบภายในเวลาสองปี แต่ต้องเรียนหนักขึ้น และยังต้องเล่นกีฬาไปด้วย ต้องรับผิดชอบเยอะกว่าเพื่อน ๆ หน่อย
อาชีพในฝัน : เคยใฝ่ฝันอยากเป็นทหารบกกับทหารอากาศ เพราะตอนเรียนที่อุดร มีอาจารย์ที่มาสอนเป็นทหารพราน เคยคุยถึงประสบการณ์การเป็นทหารด้วยจนเกิดความประทับใจ เกิดความบ้าพลัง มีเลือดรักชาติ เลยมีความคิดว่าอยากเป็นทหารมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ผมอยู่โรงเรียนประจำชายล้วนมาตั้งแต่ ป.3 จนจบ ม.ปลาย ถ้าได้เข้าทหาร ซึ่งเป็นชายล้วนอีก จนคุยกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าเป็นแบบนั้น โลกเราคงแคบไปหน่อย (หัวเราะ) ขอใช้ชีวิตในส่วนที่เราอยากเป็นดีกว่า ในที่สุดก็ตั้งใจเลือก ม.เกษตรศาสตร์ เพราะคิดว่าเหมาะกับชีวิตตัวเราเองที่สุด ก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเรียนกับผู้หญิงมาก่อน ทำตัวไม่ถูกเลย (หัวเราะ)

เรียนยื้อเวลา : ตอนเรียนปริญญาตรี มีบริษัทมาจองตัว ผมจะไปทำงานอยู่แล้ว แต่คุณพ่อไม่อนุญาต เพราะอยากให้กลับไปทำงานที่บ้าน ผมก็ไปสมัครเรียนปริญญาโท เพราะไม่อยากกลับ (หัวเราะ) เข้าเรียนด้าน สารกำจัดวัชพืช เป็นนักวิจัย นักวิเคราะห์ สารเคมีที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยตรง ก่อนที่จะนำมาจำหน่ายในประเทศ พอจบปริญญาโท ก็ได้งานทันทีจากบริษัทชั้นนำ ซึ่งจองตัวผมไว้ ตั้งแต่เคยไปฝึกงานที่นั่น ผมอยากทำงานบริษัท อยากมีชีวิตเป็นลูกจ้าง (หัวเราะ)
กลับบ้าน : คุณพ่อมาตามกลับให้ไปทำงานเป็นรอบที่สอง ครั้งนี้ท่านมาซื้อกิจการน้ำแข็งที่หนองคายเพื่อให้ผมบริหาร ซื้อก่อนที่จะบอกผมด้วยซ้ำ เลยจำใจต้องกลับมา ตอนนั้นคิดหนัก เพราะการที่เราเป็นลูก ทำงานในบ้าน แล้วไปเรียน กับการมาเป็นผู้บริหารโดยตรง มันคนละแนวกันเลย ไม่ได้กลัวเรื่องจะกลับมาทำให้คุณพ่อ แต่กลัวเรื่อง ผมจะทำได้ไม่เหมือนกับที่ท่านคาดหวังไว้หรือเปล่า แต่ท่านมองว่า ผมคุ้นชิน คลุกคลีกับพนักงาน เดินเครื่องเป็นตั้งแต่ ม.3 ขับรถยนต์เป็นก่อนขับมอเตอร์ไซด์ ส่งน้ำแข็งตั้งแต่ ม.2 แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำเองแล้ว เรามาเป็นผู้บริหาร เรายังไม่เคยบริหารคน ยังไม่เคยเป็นลูกน้องใคร
เข้าใจลูกจ้าง : ในความรู้สึกของผม การเป็นลูกน้อง การเป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัทใหญ่ เพื่อต้องการปูพื้นฐานในชีวิตผมมากกว่า ไม่ได้ต้องการเลี่ยงไม่อยากกลับมาทำธุรกิจของบ้าน แต่ความคิดของคุณพ่อคือ ไม่อยากให้ลูกไปลำบาก แต่ในมุมเรา ไม่ได้ลำบาก แต่อยากใช้ชีวิตเรียนรู้ ในสิ่งที่คนอื่นเขาเป็น เวลาสักวันหนึ่ง หากต้องมาดูแล บริหารคน จะได้มีความชัดเจน เข้าใจเขา งานเราก็จะได้ราบรื่น ถึงจะมองกันคนละมุม แต่วัตถุประสงค์ของจุดหมายปลายทางก็คือ อยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
บริหารนอกตำรา : พนักงานส่วนใหญ่จะเป็นแนวลูกทุ่ง ก็ต้องอาศัยทักษะการใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นให้ได้ ต้องอ่านใจเขา แต่ละคนก็ต่างกันไป จะทำอย่างไรให้เขาเชื่อเรา เพราะผมเด็กที่สุด เพิ่งจะยี่สิบต้น ๆ แต่ต้องไปบริหารคนอายุที่มากกว่าเราทั้งนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเงิน แต่เป็นเรื่องความน่าเชื่อถือ ความสามารถที่จะแสดงให้เขาเห็นว่าเราทำได้ เราจะนำเขาไปในธุรกิจหรือในงานที่เขาทำได้มั้ย, คุณพ่อ ไม่เป็นพี่เลี้ยงเลย (หัวเราะ) ปล่อยให้ผมทำเองตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ ป.3 ก็ปล่อยให้ไปโรงเรียนประจำแล้ว ท่านติดนิสัยดุมาจากคุณปู่ ถ้าทำอะไรผิดก็โดนตลอด แล้วสอนด้วย ผมก็คอยจับใจความ ไม่เคยน้อยใจ แต่คิดในใจว่า ถ้าไม่เหนื่อยก็ดุต่อไป (หัวเราะ) แต่ผมไม่เคยโกรธ นั่งฟังตลอด, ผมมีภาควิชาการ มีประสบการณ์ มีความรู้อยู่แล้ว, แต่ภาคการอยู่กับคนที่มีอายุมากกว่า ทำงานเก่งกว่า ผมไม่มีประสบการณ์ในส่วนนี้ แล้วทำอย่างไรจะควบคุมเขาได้ ความรู้ภาควิชาการมันใช้ไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้เขา บางทีก็โดนลองวิชาบ้าง เราก็ต้องปรับตัว ผมไม่เคยสอนงาน ใช้วิธีทำให้เขาเชื่อใจ ต้องไปรวมฝูงกับเขา กินข้าวกับเขา ไปบ้านเขา งานในครอบครัวเขา เราก็เข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ทำตัวเองเป็นเจ้านาย อยู่เหมือนเพื่อน เหมือนน้อง ใช้เวลา 5 – 6 ปี กว่าจะปรับตัวกันได้ เพราะผมให้ความสำคัญตรงนี้มาก เวลาไม่สำคัญ เพราะผมยังอยู่ตรงนี้ไปตลอด ถ้าเราปูพื้นฐานในการอยู่ร่วมกับคนได้ ที่เหลือไม่ใช่ปัญหา วัฒนธรรมของคนอีสาน เวลาศรัทธาใคร เขาจะถ่ายทอดสู่ลูกสู่หลาน ไม่ใช่แค่รุ่นเดียว แล้วเราก็อยู่กับชุมชนของเรา มีบทบาทให้ความช่วยเหลือ ขาดเหลืออะไรก็สนับสนุนดูแลกัน ซึ่งผมทำมาตลอด
หนองคายสายฝน : คุณพ่อไปตั้งโรงน้ำแข็งเพิ่มที่หนองบัวลำพู เมื่อปี 2518 และนำไอศกรีมสายฝนมาขายด้วย แล้วมีพระมาทักว่า ให้ใช้ชื่อสายฝนแล้วจะดี สื่อถึงการเป็นตัวแทนอันบริสุทธิ์จากท้องฟ้า จะทำให้กิจการเรารุ่งเรือง คุณพ่อก็ไปขออนุญาตใช้ชื่อจากเจ้าของไอศกรีมที่พิษณุโลก แล้วก็ใช้ชื่อนี้มาตลอด, โรงน้ำแข็งหนองคายสายฝน ก่อตั้งเมื่อปี 2544, ในการทำธุรกิจ เราไม่เคยตัดราคา ขายราคาเดียวกันกับเจ้าอื่น แต่ไปแข่งขันกันที่การบริการ เป็นที่มาว่าทำไมผมถึงต้องอยู่ใกล้ชิดกับพนักงาน เพราะถ้าเขาเชื่อใจเรา เวลาสั่งงานออกไป เขาต้องทำตามให้ได้, แต่ถ้าเขาไม่เชื่อ พูดยังไง เขาก็ไม่ทำ การบริการก็จะไม่ดีอย่างที่เราคาดหวัง, สินค้าประเภทน้ำแข็ง อาจไม่ได้แตกต่างกัน เพราะมีมาตรฐานเป็นตัวควบคุมอยู่แล้ว แต่จุดเด่นของเราคือการบริการ, ธุรกิจน้ำแข็งจะวิ่งเป็นเส้นทาง ไม่เปลี่ยนสาย ของใครของมัน ลูกค้าจะรู้จักมาตั้งแต่เขายังเด็ก จนโต เราสร้างคนขึ้นมาให้มีความผูกพันกับองค์กร ผมโชคดีที่มีพนักงานที่ปั้นมาตั้งแต่เด็ก เลี้ยงดูกันมา บางคนอาจไม่มีความรู้ เกเร ติดยา ก็นำมาขัดเกลา อบรมสั่งสอน ค่อย ๆ สอนงานให้ จนเขาเติบโตกลายเป็นรุ่นพี่ให้กับน้อง ๆ รุ่นใหม่ มีครอบครัว มีบ้าน มีรถ โดยที่เราคอยสนับสนุนเขาอย่างยุติธรรม, เพราะโรงน้ำแข็งทุกโรง เจ้าของไม่สามารถดูแลลูกค้าได้เองทั้งหมด ต้องอาศัยพนักงานไปทำหน้าที่ เหมือนกับที่เราอยากจะดูแลเอง ซึ่งเขาก็ดูแลลูกค้าได้เป็นอย่างดี บางครั้งดีกว่าที่คาดไว้ด้วยซ้ำ

ธุรกิจต่อยอด : ด้วยความที่ธุรกิจต้องใช้รถเยอะ ผมก็คิดว่าการมีประกันภัยจะช่วยแบ่งเบาเราได้เยอะ พอไปซื้อบ่อย ๆ ก็พบกับพนักงานขาย ผมก็ถามโน่นถามนี่ จนทราบว่ากำไรมากกว่าผมขายน้ำแข็งอีก (หัวเราะ) คุยกันไปคุยกันมา ก็ชวนมาเปิดธุรกิจ ในเมื่อผมไม่เป็น ทำไมจะต้องไปเรียนรู้ให้เสียเวลา ซึ่งก็คือภรรยาผม (หัวเราะ) ธุรกิจประกันภัย มีการเคลื่อนไหวตลอด เราต้องคอยปรับตัว และติดตามข่าวสาร จากนั้น ก็มาเปิด ตรอ. ขยายสำนักงาน ให้ใหญ่ขึ้น ช่วงหน้าฝน ธุรกิจน้ำแข็งจะค่อนข้างซบเซามากที่สุด ยิ่งกว่าหน้าหนาวซะอีก แต่ประกันภัย จะขึ้นจะลง ต้นปีกลางปี ตามการจัดงานมอเตอร์โชว์ เพราะคนออกรถเยอะ เรามีทั้งธุรกิจน้ำแข็ง และธุรกิจประกันภัย เป็นหลัก ขึ้นอยู่กับจังหวะไหน แล้วก็ยังมีโรงเรียนสอนขับรถ อยู่ติดกับประกันภัย และโรงแรม โมเดิร์นอินสายฝน
BNI IRIS : เป็นการรวมกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่แล้วในหนองคาย โดยแต่ละชนิดจะเข้าได้แค่หนึ่งที่เท่านั้น ไม่ซ้ำซ้อนกัน เช่น ในกลุ่มนี้จะมีธุรกิจน้ำแข็งแค่ผมคนเดียว แต่หากเป็นธุรกิจที่แยกย่อยไปได้อีก ก็เพิ่มจำนวนตามนั้น อย่างที่หนองคาย มีสมาชิก102 คน จาก 102 ธุรกิจ นับว่าใหญ่มาก และเป็นกลุ่มที่จะได้เป็น ไดมอนด์ หรือ เพชร แห่งแรกของประเทศไทย, เริ่มจากมีพี่ ๆ มาอบรม BNI (Business Network International Inc.,) ที่อุดร แล้วเห็นประโยชน์นี้ จึงมาแนะนำ สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการตลาดแบบ Referral Marketing เน้นการหาความสัมพันธ์อ้างอิงจากภายนอก เพื่อมาช่วยเหลือในกลุ่ม ไม่ได้เน้นให้พวกเราซื้อขายกันเอง เพราะปกติก็รู้จักกัน ทำธุรกิจกันอยู่แล้ว ซึ่งการทำกิจกรรมทั้งหมด ทำกันอย่างเปิดเผยเป็นหลักการและเหตุผล ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างดี ทำให้ในกลุ่มมียอดขายเพิ่มมากขึ้น เป็นการร่วมกลุ่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์ มีวิทยากรมาให้อบรมความรู้ในการทำธุรกิจ เหมือนกับเราได้ไปเรียนการบริหารธุรกิจ เรียนการตลาด พวกเราไม่ได้มารวมตัวกันเล่น ๆ เรามารวมตัวกันจริงจังครับ (หัวเราะ)
กอล์ฟ : ก่อนหน้านี้ กิจกรรมที่ชอบอีกอย่างคือการขับขี่มอเตอร์ไซด์ ทั้งประเภทวิบากแบบลุย ๆ ก็เคยไปแข่งขันแบบสนุก ๆ บ้าง แล้วหันมาขี่แบบทัวร์ริ่งท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ๆ อีกสักพัก จนกระทั่งวันนึงเริ่มรู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัว จะขับรถตลอดอย่างเดียวคงไม่ใช่ ธุรกิจเริ่มรัดตัว ไม่มีว่างเวลากัน พอดีมีพี่ในกลุ่มเขาเล่นกอล์ฟอยู่แล้ว ชักชวนให้ไปเล่นกอล์ฟ ก็ตอบไปว่า “ตีไม่เป็น” พี่เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร “ตีมั่ว ๆ ไปเลย” (หัวเราะ) และด้วยความไม่เคยอยู่ในวงการกอล์ฟมาก่อน วันแรกที่พากันไปกรุงเทพฯ แค่เดินไปร้านขายอุปกรณ์ เห็นราคาหลักแสนก็แทบช็อคแล้ว (หัวเราะ) ขอถอยมาตั้งหลักก่อน ทำใจสักอาทิตย์ แต่ในที่สุดก็มาจ่ายหลักแสนอยู่ดี ถอยชุดเหล็กจากห้างที่อุดร เพราะคำพูดของรุ่นพี่ที่บอกว่า “ของมันต้องมี” (หัวเราะ) ตั้งแต่ยังไม่รู้จักกอล์ฟเท่าไหร่เลย พอซื้อแล้วก็ให้พี่ ๆ ช่วยกันสอน แต่รู้สึกว่ายังเล่นไม่ได้สักที ต้องไปหาโปรช่วยจับวงให้ ทั้งเรียน ทั้งออกรอบ ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะตีได้ ไม่เคยเจอกีฬาอะไรที่เล่นยากมากขนาดนี้มาก่อนเลย จะควบคุมสติอารมณ์ให้ได้ก็ยังยาก แต่โดยสัญชาติญาณนักกีฬา “เราต้องเอาชนะมัน” เพราะ กอล์ฟ มีครบทุกมิติ ด้านกีฬาทำให้ได้ใช้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่ใช่ว่าแค่แข็งแรงแล้วจะมาเล่นได้ เพราะไม่ได้ใช้กำลังของร่างกายอย่างเดียว ทุกอย่างต้องพอดี สร้างสมดุลให้ได้ทุกอย่าง ต้องเรียน ต้องเข้าใจ ทั้งท่วงท่าและอุปกรณ์ เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากสำหรับผม (หัวเราะ) ขนาดเคยขับขี่มอเตอร์ไซด์ทั่วไทย ภรรยายังไม่เคยตำหนิ แต่กอล์ฟนี่ โดยต่อว่าตลอด เพราะช่วงเล่นหนัก ๆ ออกรอบแทบทุกวัน (หัวเราะ) แต่เวลากลับถึงบ้านทีไร ถึงจะเสียมากเสียน้อยเท่าไหร่ พอเจอแฟนต้องยิ้มเข้าไว้ก่อน แล้วรีบบอกว่า… อยากกินอะไรวันนี้เลี้ยงเต็มที่ พี่กินเขามาได้… หน้าชื่นอกตรมก็ยอม (หัวเราะ)
กาย – ใจ : ทุกคนมีอารมณ์หงุดหงิดเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่ว่าใครจะเอาชนะตรงนั้นได้, ผมไม่ได้เป็นคนใจร้อนตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้ดั่งใจจะหงุดหงิด ใจร้อนขึ้นมาทันทีเลย เพราะมีความมุ่งมั่น, ตอนตีกอล์ฟใหม่ ๆ เป็นอุปสรรคเหมือนกัน เพราะถ้ามีเพื่อนมาแซว มายั่ว จะคุมตัวเองไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) ต้องไปฝึกซ้อมมาใหม่ ทำไม่ได้ก็ยิ้มไว้ พยายามไม่คิดอะไร กลับมาทำสมาธิบนรถกอล์ฟ หายใจลึก ๆ แล้วทำใหม่ พยายามปรับตัวให้เข้ากับเกมกอล์ฟ โดยที่เราไม่ต้องไปตำหนิเขา แซวมาก็แซวกลับบ้างแบบพองาม เวลาเล่นไม่ว่าจะกับใคร ก็ควรจะมีความระมัดระวังในเรื่องมารยาท ต้องละเอียดตั้งแต่เดินเข้าไปในสนาม บนคลับเฮ้าส์ ให้เกียรติกับทุกคนไม่ว่าเขาจะเป็นใคร, ส่วนในเรื่องธุรกิจ อย่างในโรงงาน เมื่อลูกน้องทำผิด หรือไม่ถูกใจอะไร แล้วคิดว่าเรากำลังจะไปเล่นงานเขา บางทีก็ต้องเดินเข้าไปในบ้านก่อน สงบสติอารมณ์ คิดว่าจะพูดยังไงกับเขาดี เพราะถึงจะเป็นข้อผิดพลาดของเขา เราก็ต้องว่าไปในหน้างาน แต่จะทำยังไงให้นุ่มนวลขึ้น ผมต้องย้ายตัวเองออกไปรักษาราชการที่อื่นก่อน (หัวเราะ) พออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยกลับเข้ามา สืบสวน สอบสวน ให้เขาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งอาจไม่เหมือนกับที่เราคิด หรือที่ได้ยินมาก็ได้ ทุกคนย่อมมีเหตุมีผล แต่จะถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าทำตอนเรายังร้อน เกรงว่าจะลุกลาม หรืออาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อเจอว่าผิดจริง ต้องมีการลงโทษ ไม่ทำก็ไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นมา เราเสียหายมากกว่าเขา, สำหรับร่างกาย พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องทำให้ได้ 6 -7 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ดื่มน้ำเยอะ ๆ และผมต้องยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ ทำทุกวันตอนเช้าระหว่างดื่มกาแฟไปด้วย มีปั่นจักรยาน หรือเดินไปหาคนนั้นคนนี้ ไปสอบถาม คุยกับเพื่อนบ้าน
งานทางอ้อม : บางครั้งก็ออกไปพบชาวบ้าน สอบถามความเป็นอยู่กัน พอเขารู้ว่าผมเรียนมาทางด้านการเกษตร ก็มีสอบถามเรื่องการใช้ยา ใช้สารเคมีบ้าง ผมก็ถ่ายรูป ส่งต่อปัญหาให้เพื่อนที่อยู่ในวงการ ซึ่งผมมีพี่น้องอยู่ในเครือข่ายทุกบริษัท แนะนำ ให้คำปรึกษา ทั้งฝั่งของเกษตรกร และผู้ขาย ซึ่งเป็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวงการการเกษตร ผมอยากทำเพราะมีความรู้ทางด้านนี้เล็กน้อย เหมือนกับเป็นการทบทวนความรู้ไปด้วย บางครั้งก็ได้เจอเพื่อน ๆ ในวงการกันบ้าง สิ่งที่เรียนมา ถึงไม่ได้ใช้กับธุรกิจโดยตรง ก็ยังได้ใช้กับสังคมที่เกี่ยวข้องบ้างครับ
