Interview

สุภาพร ศุภรเวทย์

สุภาพร ศุภรเวทย์
Waterside Karaoke Restuarant
“ไม่นำปัญหาคนอื่นมาเป็นของเรา และไม่นำปัญหาเราไปเป็นของคนอื่น”

อยากทำงานมากกว่าเรียน :

เป็นนักเรียนสายวิทย์ค่ะ การเรียนค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดี เพราะตอนนั้นคิดว่า คุณพ่อส่งให้เรียนแล้ว ก็ควรจะตั้งใจเรียนให้ผลงานดี พอตอนจบมัธยมปลาย ดันมีความคิดประหลาดขึ้นมาว่า อยากทำงานก่อน ยังไม่ต้องเรียนต่อมหา’ลัย ในตอนนั้น ไปลองทำงานก่อนก็น่าจะได้ เลยบอกคุณพ่อว่า “ลูกไม่ไปสอบเอ็นทรานซ์นะ อยากทำงานก่อน” คุณพ่อ ก็บอกว่า “ให้ไปคิดทบทวนใหม่ ว่าคิดถูกแล้วหรือยัง” เพราะคุณพ่อคงเข้าใจว่า เป็นความคิดแบบเด็ก ๆ ในขณะนั้น แล้วคุณพ่อก็ไม่บังคับด้วย สุดท้ายเลือกไม่สอบเอ็นทรานซ์ ขณะที่เพื่อนไปสอบเข้าโน่นเข้านี่กันหมด จนตอนนั้นรู้สึกว่า ทำไมเราไม่ไปเรียนอยู่คนเดียว เคว้งคว้าง (หัวเราะ) สุดท้ายใกล้เปิดเทอมก็ไปเรียนบริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ ของ มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง แบบไม่ตั้งใจ เรียนแค่เดือนเดียว ก็ย้ายมามหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ภาคค่ำ พอดีพี่สาวเรียนที่นั่นด้วย ตอนที่เลือกเรียน ก็ไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับคณะนี้ หรือไม่ เพราะเรียนสายวิทย์มา แต่ยุคนั้น ผู้หญิงเข้า ม.กรุงเทพ ต้องเรียนนิเทศศาสตร์ เลยเลือกเรียนไปก่อน (หัวเราะ) สุดท้าย เรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ และสาขาโฆษณา ภาคค่ำ ทั้งปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับสอง และปริญญาโท

กิจกรรม :

เมื่อตอนวัยรุ่น กีฬา มีเล่นบ้าง เช่น วอลเลย์บอล แบดมินตัน ว่ายน้ำ ตะกร้อ ยังเล่นเลยค่ะ (หัวเราะ) คือเล่นหลายอย่างในขณะนั้น สนุกไปตามวัย แต่ก็ไม่ได้มีกีฬาอะไรเก่งเป็นพิเศษ (หัวเราะ) ส่วนกิจกรรมต่าง ๆ ของมหา’ลัย มีเข้าร่วมบ้าง แต่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่ จะไปตามเพื่อนสนิทจริง ๆ ที่ชวนไป เพราะตอนเริ่มโตเป็นสาวเข้ามหา’ลัย ช่วงนั้นเป็นคนที่ชอบอยู่กับคนน้อย ๆ มีเพื่อนไม่กี่คนเองค่ะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางสังคมมากในช่วงวัยนั้น จะอยู่กันเฉพาะกลุ่มของตัวเอง

ธุรกิจครอบครัว :

ครอบครัวทำธุรกิจร้านแว่นตา รุ่งเรืองออฟติค และอพาทเมนท์ อยู่แถวสุขุมวิท คุณพ่อทำมา 30 ปีแล้ว แต่เราไม่ได้ทำงานกับครอบครัว เพราะพี่สาวมารับช่วงช่วยงานคุณพ่อและต่อยอดธุรกิจ เราอยากจะออกไปทำงานเอง (หัวเราะ) แต่ถ้าไม่มีใครดูแลต่อก็คงต้องทำ ในช่วงที่ยังเรียนอยู่ก็ช่วยคุณพ่อขายของ ช่วยวัดสายตา ขายของ ซึ่งเราทำได้ เพราะเคยไปเรียนเรื่องแว่นตา เรียนวัดสายตา จนมีใบรับรอง มีพื้นฐานทางด้านนี้

พนักงานบริษัท :

จบปริญญาตรี ก็ไปทำงาน ฝึกงานในบริษัท โฆษณาซึ่งเป็นองค์กรเล็ก ๆ มีพนักงานราว 20 คน มีสินค้า 10 กว่าชิ้น เราเป็น AE (Account Executive) คนเดียวของบริษัท (หัวเราะ) ต้องติดต่อลูกค้า เจอเจ้าของกิจการธุรกิจทุกอย่างโดยตรง ทำหน้าที่คอยดูแล จัดการ บริหาร และประสานงาน ระหว่างลูกค้ากับทุกฝ่ายในบริษัทเช่น อาทไดเร็คเตอร์ ฝ่ายศิลป์ บัญชี ฯลฯ ทำให้ได้ประสบการณ์ในการทำงานเร็วมาก ทำได้ ประมาณ 2 ปี ก็ไปเรียนต่อ ปริญญาโท

เริ่มจากความบังเอิญ :

ตอนทำงานบริษัทโฆษณา ได้เจอเจ้าของสินค้าตัวหนึ่ง ซึ่ง เป็น Accout ของบริษัท (คุณทชัย เดชะทวีวัฒน์ และ คุณนันท์นภัส อัจจมาล์ยวรา ) เรารู้จักกัน เคารพกันเหมือนพี่ชายและพี่สาว ความบังเอิญที่เกิดขึ้นคือ วันหนึ่งเรานัดประชุม แถวถนนเลียบทางด่วน แล้วเห็นป้ายเล็ก ๆ ติดที่ต้นไม้ขนาดใหญ่เขียนไว้ว่าให้เช่าพื้นที่ 15 ไร่ รู้สึก อุ้ย !! น่าสนใจ วันรุ่งขึ้นนัดกันมาดูอีกรอบ พอเข้ามาในพื้นที่รู้สึกว่าที่นี่ร่มรื่น เป็นป่า เป็นบ่อเลี้ยงปลาเก่า มีความเป็นธรรมชาติ ตอบโจทย์อะไรบางอย่างของเรา เพราะก่อนหน้านั้น เวลาประชุมทีมก็จะนัดกันที่ร้านอาหาร แล้วก็คุยกันตลอดว่า ร้านอาหารร้านนี้น่าจะมีแบบนี้เพิ่มขึ้นนะ คอมเมนต์กันตลอด (หัวเราะ) อยากมีร้านที่ตอบโจทย์เราอีก เพราะเราชอบโปรเจคก็เลยเกิดความคิดว่า ถ้าทำร้านอาหารตรงนี้จะเป็นยังไงบ้าง เราใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการวางแผน คุณทชัย ชวนให้มาช่วยดูเรื่องการตลาดด้วย ตอนนั้น ยังไม่มีทุนอะไรมากมาย ต้องเขียนโครงการเพื่อกู้ธนาคาร วิเคราะห์สถานการณ์ ต่าง ๆ ในขณะนั้น ซึ่งการตลาดสมัยก่อน ต่างจากปัจจุบันมาก โซเชียลยังไม่มีเลย ตอนแรกแค่อยากมาช่วยเรื่องการตลาดและโฆษณา ทำไปทำมา ลงหุ้นด้วยเลย (หัวเราะ)

วิทยานิพนธ์ :

ช่วงนั้นเรียนปริญญาโทอยู่ด้วย ต้องทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบ โปรเจค วอเตอร์ไซด์ คือการนำงานจากของจริงส่วนหนึ่งที่เราทำไปเสนออาจารย์ (หัวเราะ) เป็นเรื่องที่คิดว่าทำได้จริง ไม่ใช่อยู่ในฝันเพราะนี่คือ โครงการทำที่กำลังทำอยู่ โดยใช้หลัก SWOT (Strengths จุดแข็ง, Weaknessed จุด อ่อน, Opportunities โอกาส, Threats อุปสรรค) ตามหลักวิชาการที่เรียน มาใช้งานจริง ๆ ประกอบกับไปนั่งทานร้านนู้น ร้านนี้ เพื่อหาตัวตนของร้านเราเอง พอจบปริญญาโท ก็เลิกทำงานบริษัทโฆษณา หันมาร่วมทำธุรกิจ ร้านอาหาร Waterside Karaoke Restaurant ปัจจุบันร้านเปิดมาแล้ว 19 ปี ตั้งแต่เริ่มนับศูนย์ พวกเราช่วยกันทำทุกอย่าง ต้องไปศึกษา หาคนร่วมงานในวงการ ต้องดูทั้งระบบ เรื่องไหนไม่รู้ ก็ต้องไปเรียน อย่างการบริหารจัดการโรงแรม เรียนค็อกเทลเป็นบาร์เทนเดอร์ ฯลฯ ก็ต้องไปศึกษา เพราะเราควรต้องรู้เรื่องสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อนำมาพัฒนาร้านต่อไป รวมเวลาทำธุรกิจร้านอาหารนี้มาทั้งหมด 22 ปี

Waterside :

เกิดจากการศึกษา วิเคราะห์ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ พฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นหลัก และการมีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างชัดเจน ซึ่งร้านอาหารสมัยก่อนแยกกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น สวนอาหาร สำหรับคนทำงานครอบครัว, ผับ สำหรับวัยรุ่น แล้วเราจะทำยังไงให้ตอบโจทย์คนทุกกลุ่มได้ จึงพยายามทำร้านให้ทันสมัย ร่วมสมัย นำข้อดีของรูปแบบร้านอาหารทั้งสองมารวมกัน เป็นผลทำให้การออกแบบร้าน, การทำเมนูอาหารที่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมาะกับครอบครัว, เครื่องดื่ม ตอบโจทย์วัยรุ่นที่อยากมากินดื่มเที่ยว กลุ่มลูกค้ากว้างมาก เราจะทำร้านให้ตอบโจทย์หมดเลย (หัวเราะ) ซึ่ง ณ ตอนนั้น ร้านแบบนี้ยังมีน้อยมาก เรารู้ว่าไลฟ์สไตล์ของคนไทยชอบแบบไหน เวลาไปร้านอาหารที่ติดน้ำ จะขอนั่งติดน้ำ พื้นที่เรามีน้ำอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงให้ทุกคนได้อยู่ติดน้ำกันหมด ดังนั้น การตั้งชื่อร้าน หลักการคือ ตั้งแต่ต้น ตั้งชื่อให้ตรงกับตัวเอง แล้วจะทำให้ร้านเกิดความน่าสนใจ Waterside Karaoke Restuarant ชื่อสื่อถึงริมน้ำอย่างชัดเจน จุดแข็งคือ เราเป็นร้าน ในกรุงเทพฯ ที่ทุกโต๊ะได้นั่งติดกับน้ำทั้งหมด เป็นเอาท์ดอร์ ที่ใช้พื้นที่เปลืองมาก เพราะตั้งใจทำให้เป็นเหมือนท่าเรือยื่นออกไป แบ่งเป็นสองฝั่ง การคัดสรรเมนูก็ช่วยกันเลือก เพราะพวกเราเป็นคนช่างเลือก (หัวเราะ) จนได้ความเป็นตัวตนที่ชัดเจน พวกเราให้สำคัญกับคุณภาพและบรรยากาศ มีแต่พยายามพัฒนาให้ดีขึ้น ลูกค้ามาทุกปีจะต้องได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ของร้านตลอด สภาพร้านค่าดูแลบำรุงรักษาสูงมาก เพราะต้องทำอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ร้านอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์มาจนถึงวันนี้ จากวันแรกที่เปิดมีประมาณ 600 ที่นั่ง ค่อยๆ เพิ่มมาเรื่อย ๆ จนถึง 3,000 ที่นั่ง ในวันนี้

กอล์ฟ :

ก่อนหน้าที่จะเริ่มเล่นกอล์ฟ ชอบเดินห้าง นั่งตามร้านกาแฟ นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ชีวิตไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นนะคะ (หัวเราะ) สมัยเด็ก เคยเล่นกีฬามาแทบทุกอย่าง แม้กระทั่งตะกร้อ ยังลองเล่นเลยค่ะ (หัวเราะ) กอล์ฟ มาเริ่มรู้จักคือเพื่อนชวนไปไดร์ฟ แต่ตอนนั้นยังไม่ชอบก็หยุดไป เพราะรู้สึกยากจัง สนุกตรงไหน (หัวเราะ) แล้วไม่สนใจอีกเลย จนกระทั่ง คุณประพันธุ์ คูณมี ซึ่งเล่นกีฬากอล์ฟอยู่แล้ว อยากให้เราเข้าร่วมกิจกรรม ออกกำลังกายบ้าง เลยแนะนำให้เรียนกับโปร ช่วงแรก ๆ ไม่สนุก ท้อแท้ เพราะตีไม่ได้สักที จนอยากจะเลิกเล่นหลายครั้งแล้ว แต่พอเล่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ออกรอบคนเดียวยังไปเลยคะ (หัวเราะ)

เล่นดีเพราะเสียดาย :

ตอนเล่นใหม่ ๆ ไปซื้อชุดกอล์ฟมือสอง มาลองหัดตี เรียนกับโปรพอเริ่มตีได้ก็เปลี่ยน ซื้อไม้ใหม่ที่แพงขึ้น แพงจริง ๆ ตอนนั้นคิดว่าอุปกรณ์ดีน่าจะตีได้ดีขี้น ไกลขึ้น (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ยังตีไม่ได้อีก นี่แหล่ะค่ะ จุดที่ทำให้เล่นจริงจังก็คือ ไปซื้ออุปกรณ์ชุดกอล์ฟที่แพงที่สุด แล้วตีไม่ได้ เสียดายเงิน (หัวเราะ) แบบนี้ยอมไม่ได้ล่ะ ต้องฮึดสู้ พยายามเรียน ศึกษา ฝึกฝน ต่อไป เกี่ยวกับวงสวิง เพราะถ้าวงสวิงพื้นฐานดี จะพัฒนาต่อได้ หากวงไม่ดีก็จบ จริง ๆ เป็นคนไม่มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬา แต่มีความพยายาม อยากเอาชนะ ทำไมคนอื่นทำได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ (หัวเราะ) อดทนเล่นไปเรื่อย ๆ ตีจนมือแตก มือด้าน แต่รักกีฬานี้ไปแล้ว ก็อดทนต่อไป เล่นกอล์ฟมานานราว 17 ปี แต่มารู้สึกเล่นได้เป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อ 5- 6 ปี นี้เอง มีไปแข่งตามชมรมต่าง ๆ บ้าง ได้ถ้วยรางวัลบ้าง ไม่ได้บ้าง (หัวเราะ) จุดแข็งของเราน่าจะอยู่ที่ ชิพ พัตต์ ไดร์ฟก็พอได้ จะมีหลุดหน่อยก็ช็อตแอพโพรชคะ เพราะเน้นมากไปหน่อย (หัวเราะ)

กิจกรรมที่ลงตัว :

ชีวิตทำร้านอาหาร เป็นงานเจอคนมากมากมาย มีทั้งแสง สี เสียง แต่พอไปอยู่ในสนามกอล์ฟ เป็นช่วงเวลาที่เรามีโอกาสได้อยู่ตัวเอง อยู่กับความสงบ มีสมาธิ คิดงานได้ในบางช่วงเวลาที่อยู่ในสนาม อีกอย่างตัวเองเป็นคนสมาธิสั้นเล็กน้อย (หัวเราะ) กอล์ฟเป็นกีฬาที่สอนให้ใจเย็น ต้องนิ่ง อย่าวอกแวก เล่นคนเดียวก็ได้ เล่นกับเพื่อนก็ได้ สนุกสนานมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นกอล์ฟ เวลาเล่นคนเดียวเหมือนได้ไปซ้อม กดดันตัวเองเล็กน้อยด้วยผลงาน กอล์ฟเป็นกีฬาที่ตอบโจทย์กิจกรรมส่วนตัว และสอดคล้องกับธุรกิจพอดี เช่น ไปตีกอล์ฟเที่ยง ๆ เย็น ๆ ก็จบ เข้ามาทำงานได้พอดี ไปเล่นกอล์ฟไม่เสียงานนะคะ (หัวเราะ) ส่วนการออกกำลังกายอื่น ๆ ช่วงนี้ ก็มีว่ายน้ำบ้าง ฟิตเนสบ้าง และเดินในร้านเป็นส่วนใหญ่

โกรธง่าย หายเร็ว :

เป็นคนคิดเยอะค่ะ ออกแนวฟุ้งซ่านด้วย (หัวเราะ) บางทีเล่นกอล์ฟก็คิดร้าย ว่าจะตีไม่ดีในช็อตนี้ บางครั้งจะออกแนวมองโลกในแง่ลบไว้ก่อน ซึ่งความคิดแบบนั้น เป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งด้านดีและด้านร้าย บางครั้งทำให้ได้ปกป้องระวังตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวเองทุกข์ใจไม่สบายใจไปด้วย (หัวเราะ) แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ก็ต้องแก้ปัญหากันไป ซึ่งนิสัยจะเป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว ลูกน้องจะรู้เวลามีอะไรก็โวย ๆ บ่นเสร็จ ปัญหาจบก็หาย (หัวเราะ) อาจมีค้างคาอยู่ในความคิดบ้างในบางเรื่อง ซึ่งจะปะทุมาตอนไหนอีกก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ)

กันไว้ก่อน :

เป็นคนค่อนข้างละเอียดค่ะ ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือเล่นกอล์ฟ, บริหารงานร้านอาหาร ต้องคิดป้องกันหน้าระวังหลัง เพราะโอกาสรั่วไหลมันเยอะมาก เวลาทำอะไรจะมองถึงผลกระทบเป็นอันดับแรก ไม่ได้มองสิ่งที่ประสบความสำเร็จก่อน หากมองเห็นปัญหาก่อน จะได้หาวิธีป้องกัน ถ้าคิดว่ารับมือได้ก็ค่อยเดินต่อ, มักจะเป็นขาเบรก (หัวเราะ) อาจเหมือนหยินหยาง ช่วยรักษาสมดุล เมื่อดึงไว้แล้ว จะดีหรือจะร้าย ผิดหรือถูก ค่อยว่ากันไป อย่างน้อยก็ช่วยทำให้ฉุกคิดรอบคอบกันมากขึ้น

สุขกาย สุขใจ :

ชีวิตนี้ขอแค่มีความสุขกาย สุขใจ ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่ำรวย ล้นฟ้า ไม่ได้ต้องการมีทรัพย์สินอะไรมากมายค่ะ คิดอยากให้แค่ ตัวเอง, ครอบครัว, คนใกล้ชิด, คนร่วมงาน มีความสุข เท่านี้ก็พอแล้วใจแล้วค่ะ อยู่ในวงการ ร้านอาหาร และกีฬากอล์ฟ มานาน มีสังคมเพิ่มขึ้น แต่เราจะพยายามไม่นำปัญหาคนอื่นมาเป็นของเรา และไม่นำปัญหาเราไปเป็นของคนอื่น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไป เพราะปัญหามีทุกวันอยู่แล้ว (หัวเราะ) และใช้ชีวิตโดยอย่าทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ.