อายุเป็นเพียงตัวเลข
อายุเป็นเพียงตัวเลข
เวลาที่ผมพบเห็นคนอายุมากยังตีกอล์ฟดี และบางท่านยังเดินตีกอล์ฟได้ ถึงแม้ว่าอายุจะ 70 กว่าแล้ว นั่นคือแรงบันดาลใจ และเป็นไอดอลผมเลย
ปีนี้ผมผ่านอายุ 63 แล้ว ถ้าเป็นคนจำนวนมาก จะคิดว่า เป็นคนแก่แล้ว อายุมากแล้ว แต่สำหรับผมแล้ว ถือว่ายังเด็กมาก เมื่อเทียบกับคนที่อายุ 70 กว่า ใกล้ 80 ที่เดินเล่นกอล์ฟได้ดี
นอกจากจะเดินเล่นกอล์ฟแล้ว สำหรับผม ผมยังพยายามที่จะเดินแบกถุงกอล์ฟให้ลูกศิษย์อีกด้วย พยายามเดินไปกับนักกอล์ฟ ไม่ได้ใช้รถลากช่วย
หลายๆคนเป็นห่วง ให้ผมดูแลสุขภาพ เกรงว่าจะเป็นอะไรไป เพราะเขาเข้าใจว่าคนอายุ 60 คือคนแก่แล้ว สิ่งที่ผมทำ มันคือการฝึกทางจิตใจ การฝึกทางร่างกาย
ฝึกจิตใจว่าเรายังทำได้ ยังเดินบรรลุเป้าหมายได้ ฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง นอกจากเดินตีกอล์ฟอย่างเดียว ยังแบกถุงหนักๆ 10 กว่ากิโลเดินไปด้วย
ถ้าเราคิดว่าว่าแก่ เราก็จะแก่ และถ้าเราคิดว่าแก่ แล้วเราพยายามหาสิ่งมารองรับว่าเราแก่ เช่น ใช้รถเล่นกอล์ฟแทนการเดิน หรือตีแล้วสั้นลงก็บอกว่าเพราะเราแก่ ย้ายไปตีหมุดหน้าให้ใกล้ขึ้น
การไม่ทำอะไรที่พยายามจะเอาชนะความแก่ นั่นคือสิ่งที่จะสนับสนุนว่า เราแก่
สรุปว่า เรื่องจิตใจ คือสิ่งที่สำคัญอันดับต้น ว่าเราจะคิดว่าเราแก่ไม่ได้ เราต้องเทรนตัวเอง เพื่อไม่ให้แก่ไปตามตัวเลข สิ่งสำคัญคือ จะต้องไม่พูดว่าเราแก่ และที่สำคัญคืออย่าสังสรรค์กับคนที่คิดว่าตัวเองแก่ อย่าอยู่กับสังคมคนแก่
มีคนชวนว่า ให้ไปเล่นกอล์ฟกับสมาคมผู้สูงอายุ ผมตอบไปว่า อายุผมไม่ถึง ยิ่งถ้าไปเล่นตอนนี้ ต้องอยู่ในกลุ่มซุปเปอร์ซีเนียร์ด้วย
เมื่อจิตใจเริ่มต้นมี หลังจากนั้น คือการที่ต้องเทรนร่างกาย เพื่อให้ยังคงทำงานเหมือนคนหนุ่มที่เขาทำกันเช่น ไม่นั่งรถตีกอล์ฟ ถึงแม้สนามบังคับให้ใช้รถ ก็ให้แคดดี้นั่งไป เราพยายามเดินให้ทันรถไม่ไปตีหมุดแท่นทีออฟที่ใกล้ขึ้นตามอายุเร็วเกินไป
ผมตีหมุดหลังจนอายุ 60 ซึ่งความเป็นจริงอายุ 50 เขาถือว่าเป็นซีเนียร์แล้ว ต้องตีหมุดขาวเพิ่งยอมมาตีหมุดขาวเมื่ออายุครบ 60 ซึ่งคนอายุ 60 เขาก็ให้ไปตีหมุดเหลือง ซึ่งเป็นหมุดหน้าหมุดขาว แต่ผมบอกว่าผมจะไปตีหมุดเหลืองเมื่ออายุ 70
และที่สำคัญคือ ผมมีเป้าและภาระกิจว่า ครั้งหนึ่งผมจะต้องตีให้สกอร์ต่ำกว่าอายุให้ได้ นั่นหมายถึงว่า ต้องไปเกิดขึ้นเมื่ออายุใกล้ 70 และ 70 กว่า ซึ่งนั่นจะทำให้หมดสภาพ หรือแก่ไม่ได้
สังคมกีฬากอล์ฟเมืองไทยเรา มีข้อเสีย คือ ต้องมีแคดดี้ลากถุงให้ และต้องนั่งรถ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ เขาไม่มีแคดดี้ต้องลากถุงเอง เดินก็ได้ หรือนั่งรถก็ได้ แล้วแต่เลือก ก็จะพบเห็นว่า คนสูงวัย เอาไม้กอล์ฟใส่บนรถลาก แล้วก็เดินลากถุงช่วยตัวเองไปทซึ่งต้องทำอย่างนี้ทุกรุ่นอายุ ไม่ว่า เด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ถึงแม้จะเป็นการแข่งขัน เด็กต้องฝึกช่วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เขาถึงเก่งกว่าเด็กไทย เมื่อต้องไปเจอกับการแข่งขันที่ไม่มีแคดดี้
มาถึงตอนนี้ก็ตลกดี หลายๆสนาม รายได้ค่ากรีนฟี ได้น้อยกว่าแคดดี้สนามเสียอีก สรุปว่าทำสนามกอล์ฟให้แคดดี้มีรายได้ เราไปบอกว่า สนามน่าจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ตัดสินใจเลือก ว่าจะช่วยตัวเองไม่ใช้แคดดี้ หรือจะใช้รถกอล์ฟ หรือจะใช้แคดดี้ สนามบอกว่า เดี๋ยวแคดดี้ไม่มีงานทำ และจะทำให้สนามเสียหาย ไม่มีใครกลบรอยดิวิด ไม่มีใครเกลี่ยทราย ไม่มีใครซ่อมรอยลูกตก และบางทีทำให้รถกอล์ฟเสียหาย ถ้าไม่มีแคดดี้ขับให้
ก็ไม่เห็นจะยาก ก่อนจะเลือกว่า จะลากถุงเอง หรือจะใช้รถ ต้องให้ความรู้นักกอล์ฟว่า คุณต้องทำอะไรบ้าง ต้องช่วยตัวเองอย่างไรบ้าง เชื่อว่านักกอล์ฟที่เลือกทำเช่นนั้น จะยินดีปฏิบัติตามแน่นอน และผมเชื่อว่าก็ยังมีคนเลือกใช้แคดดี้ที่มากกว่าคนที่จะลากรถเอง หรือขับรถกอล์ฟเองห้ามคนที่ยังไม่มีใบขับขี่ขับรถกอล์ฟ และเสียค่าประกันเพิ่ม เพื่อการันตีว่ารถกอล์ฟจะปลอดภัย
ผมเห็นว่าหลายๆสนามประกาศรับแคดดี้ เทรนแคดดี้อย่างต่อเนื่อง แต่แคดดี้พอเป็นแล้วก็ออกย้ายไปอยู่ที่อื่นที่รายได้ดีกว่า ทำอย่างนี้เป็นสิบๆ ปี แล้วก็บอกว่าแคดดี้ไม่พอ ซึ่งถ้าไม่ปรับตัว ก็ต้องผจญกับภาวะเช่นนี้ตลอดไป สร้างสนามกอล์ฟเพื่อให้แคดดี้มีรายได้ดีกว่าสนาม
แขกต่างประเทศหลายคน บอกว่า ตีกอล์ฟเมืองไทย แพงมาก เวลาไปตีสนามดีๆ ต้องเสียค่ากรีนฟี ต้องใช้รถ ต้องใช้แคดดี้ ต้องทิปให้แคดดี้ ทิปน้อยมันก็มองหน้า รวมๆแล้ว ร่วม 5000 บาท แต่ถ้าตีเมืองนอกแพงหน่อย 2500 บาท รวมรถกอล์ฟ ไม่ต้องเสียค่าแคดดี้ ไม่ต้องเสียค่าทิป
เล่าเรื่อง อายุ เป็นเพียงตัวเลข แต่ปิดท้ายด้วยเรื่อง การปรับตัวของสนามกอล์ฟ กับการมีรายได้เพิ่ม
โปรเชาวรัตร์ เขมรัตน์



