เขียน..เมื่อมีลมหายใจ

เพื่อนฉันในวันสุดท้าย

เขียน.. เมื่อมีลมหายใจ ๒
เพื่อนฉันในวันสุดท้าย

วันที่ 1 กันยายน 2566 ฉันนัดกับน้องๆ คนสนิทกันมายาวนาน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด บางคน 4 ปีแล้วไม่ได้เจอกันเลย แต่ก็ยังมีไลน์ เฟสบุ๊ค ให้เราได้เจอะเจอกันทางโซเชียลไม่ได้ขาดสาย แมนสรวง เป็นจุดให้เราทั้ง 4 คนได้รวมตัวกันเพื่อไปดูภาพยนตร์คุณภาพ และทานอาหารร่วมกัน ฉันบอกน้องๆ ว่ารู้มั๊ย วันนี้ครบ 21 ปี ที่พี่สวดมนต์ทุกคืนวัน พี่ว่าวันนี้เป็นวันดีๆ ที่เราได้มารวมตัวกันอีกครั้ง จะมีพี่สาวใหญ่อีกคนที่ยังไม่พร้อมในวันนี้ เรามีความสุขมากมายได้ทานข้าวกลางวันกันก่อนชมภาพยนตร์ มีป๊อปคอร์น โค้ก ตามธรรมเนียม พูดคุยในทุกเรื่องราวที่เก็บกันมานานวัน… จนเข้าไปชมภาพยนตร์ แมนสรวง ได้ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นบรรยากาศที่เราไม่ได้สัมผัสกันมานานมาก เรามีเรื่องราวคุยต่อหลังจากภาพยนตร์จบลง ฉันบอกน้องๆ ว่า เราไปทานส้มตำกันต่อเพราะยังพอมีเวลา… ทุกคนโอเคร (ฉันยกนาฬิกาดูเวลา 18.00 น.) ซึ่งฉันมีหน้าที่ต้องรับลูกชายจากการเรียนพิเศษประมาณ 2 ทุ่ม โชคดีมีร้านอาหารอยู่ในบริเวณนั้นไม่ต้องขยับออกจากห้าง อาหารถูกใจ เราคุยเรื่องภาพยนตร์ แมนสรวง เราเหมือนคิดตรงกันว่า คนไทยน่าจะได้มาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะสอนอะไรหลายอย่างได้ดี เตือนสติในเรื่องความรักชาติแผ่นดิน และเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันเวลานี้

อาหารวางบนโต๊ะทุกคนซี้ดซ้าด ยำทะเลรสเด็ด ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อถ่ายรูป ทุกคนก็ต่างทำเหมือนกัน แล้วหัวเราะ “คนเรานี่เป็นทาสมันไปเสียแล้ว กว่าจะทำอะไรได้ก็ต้องแชะซะก่อน” ทั้งที่บางทีหิวจะแย่อยู่แล้ว!

แว๊บเห็น ภาพรูปเพื่อนฉันพร้อมข้อความบรรยายว่ากำลังขึ้นเขามีน้ำตก… ฉันคอมเม้นท์ไปในทันที “ชีวิตที่เลือกได้”

หลังจากคุยกันสารพัดเรื่อง สนุกสนาน ทานอาหารอิ่มแปล้ แถมยังมีใส่ถุงมาฝากแม่บ้านได้อีก 1 ถุงใหญ่ ฉันมองนาฬิกา “ทุ่มครึ่งล่ะ เราต้องแยกย้ายกันแล้วนะ พี่ต้องไปรับน้องทีมที่เรียนพิเศษศิลปะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก” อาจมีคำถามว่าทำไมไม่สอนเอง ฉันก็เป็นครูสอนศิลปะ ฉันตอบตรงนี้ซะเลยแล้วกันว่า ศิลปะสมัยใหม่ก้าวไกลไปแล้ว ต้องมีตัวช่วยฉันจึงเป็นแค่ที่ปรึกษาให้ลูกชายเท่านั้น

เราแยกย้ายกันด้วยอ้อมกอดและรอยยิ้ม แค่นี้ก็เป็นความสุขที่เต็มเปี่ยม อาบน้ำอาบท่า สวดมนต์เสร็จ ฉันก็เปิดเฟสบุ๊ค…ปกติเพื่อนฉัน ชนันท์ สุวรรณรัตน์ จะเป็นคนตอบเฟสบุ๊คไวมาก แต่วันนี้ไม่มีคำตอบจากเพื่อน… ฉันกลับไปที่ไลน์มีข้อความจากเพื่อนชานนท์ “แจ้งข่าวนะครับ…ผมทราบจากเพื่อนศิลปะยะลา 6 โมงเย็น ชนันท์เสียชีวิต สาเหตุเป็นลมบนภูเขาไปพักค้างแรมกับเพื่อนๆ กลุ่มปฎิบัติธรรม” ฉันอ่านข้อความทบทวนจากเพื่อนๆ ไลน์กลุ่มศิลปะ 1 ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถามคำถามตัวเอง กลับไปกลับมา หัวใจสะเทือน เพราะเมื่อเดือนก่อนเราพึ่งไปทานข้าวด้วยกันมากับกลุ่มเล็กๆ ศิลปะ1ไม่กี่คน ฉันมีภารกิจลังเลว่าจะเอาไงดีน้อ! เจ้าหมูบอก “สระบุรีแค่ปากซอย” ชนันท์ นั่งรถไฟมาไกลกว่าเพื่อนจากลำพูน ชนันท์เป็นคนใต้ปัตตานีแต่ไปมีคู่ชีวิตถึงลำพูน…

ฉันตัดสินใจขับรถไปคนเดียวเพื่อไปทานข้าวมื้อกลางวันกับเพื่อนๆ “ชนันท์มาตั้งไกลนะ มาพบเพื่อน” ทุกคนค้างที่บ้านสวนเพื่อนชานนท์ซึ่งฉันชอบมากกับธรรมชาติความร่มรื่นของมวลแมกไม้ที่พวกเราศิลปะ1 เคยรวมตัวก่อนมีสถานการณ์โควิด แต่ฉันต้องกลับเพราะติดภารกิจสำคัญ

ฉันเจอกับเพื่อนๆ ศิลปะ 1 ลูกพระนาง คำแรกที่ฉันพบเพื่อน!
“ชนันท์ เพราะเธอจริงๆ นะเนี้ยะ เธอมาตั้งไกลฉันเลยต้องมาแค่เจอกัน แค่ทานข้าวร่วมกันก็ยังดีเน๊าะ”
“ขอบใจๆ เพื่อนแค่ 2-3 ชม. ก็ยังดี “ชนันท์ตอบ
ฉันไม่นึกเลยว่า การทานอาหารในวันนั้นที่พวกเราศิลปะ 1 พบกันไม่กี่คนจะเป็นมื้อสุดท้ายของเธอกับฉันและเพื่อนๆ นะชนันท์
คืนนี้ใจฉันแกว่ง และคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่พวกเราร่วมเรียนร่วมคุยร่วมสนุกสนานแลกเปลี่ยนความคิดแววตาของเธอเวลาที่เราคุยกันในเรื่องปฏิบัติธรรม…ใจมันหายอย่างยากอธิบายเลยจริงๆ พี่ชายฉันเคยบอกเสมอถ้าเพื่อนนัดให้รีบไปหา!
เป้าหมายการเดินทางของเธอ คือบนยอดเขาสันกะลาคีรี ที่ฉันดูจากเฟสบุ๊คไปให้ถึงสุดทางนะเพื่อน เธอเป็นคนปฏิบัติธรรมที่มีรอยยิ้มจากริมฝีปากกับดวงตาที่ชัดเจน

ข้อความสุดท้ายที่เธอกับฉันคุยกันทางไลน์…
…. “เมื่อใกล้รุ่งฝันถึงนันท์ แปลกเหมือนกันเห็นตัวบ่อยน่าจะมาจากการปฏิบัติที่เสมอกัน”
… “เครื่องส่งและเครื่องรับ มีการส่งและรับความถี่ที่ตรงกันก็จะสัมผัสกันได้
ถ้าแก่กล้าพอทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ ฉันก็ยังปฎิบัติต่อเนื่อง เช้า 4.30 ค่ำ ก่อนนอน
คงจะมีสักช่วงเวลาที่เครื่องส่งและเครื่องรับที่พลังตรงกัน”……
….“ถ้าประมาณเวลาที่ตัวตื่นมาปฏิบัติจะเป็นเวลาที่แจ๋วฝันชัดมากๆ ทุกครั้งเพื่อน”….
หลับให้สบายนะเพื่อนฉัน ชนันท์ สุวรรณรัตน์

สุชาภา ผลชีวิน