Interview

หทัยทิพย์ สีสังข์

หทัยทิพย์ สีสังข์
จอย บียอนด์
“อย่าไปเอาของใคร เดี๋ยวจะเสียของเรา”

ความใฝ่ฝันที่อยากค้นหา : เวลามองคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าทำธุรกิจหรืออะไรก็แล้วแต่ จะตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ทำไมเขาถึงเก่ง ทำไมเขาถึงรวย แล้วเราจะทำอย่างเขาได้บ้างหรือไม่ เคยเห็นพี่คนนึงเป็นนางเอก ขับรถสวย ๆ ทำอะไรก็มีคนคอยดูแล คอยเอาใจ จนคิดว่า สักวันนึงเราจะเป็นแบบนั้นบ้างได้มั้ย ถ้าเราได้เป็นเบอร์หนึ่ง คงจะดีไม่น้อย (หัวเราะ) และหนทางเดียวของเราตอนนั้นก็คือ อยากเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ เพราะคิดว่านั่นจะทำให้ชีวิตไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้

เข้าวงการฯ : ครั้งนึงไปเดินที่สยามสแควร์ แล้วมีคนมาติดต่อขอเบอร์ ให้มาแคสติ้ง ในใจคิดว่าแล้วเราจะได้หรือ แต่ก็ไปลองดู จนมีงานเข้ามาบ้าง ได้เป็นตัวประกอบมั่ง ตัวรองมั่ง เริ่มได้เป็นนางเอกมิวสิควีดีโอ เพลงลูกทุ่งน่าจะเล่นไปหลายร้อยเพลง (หัวเราะ) ทำแล้วได้เงิน สนุก แค่หาเงินได้ก็ดีใจแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดที่ตั้งใจไว้ จนได้เริ่มงานทีวี ผลงานเรื่องแรกเกี่ยวกับจักร ๆ วงศ์ ๆ แล้วก็เล่นมาเรื่อย ๆ

ดาราเจ้าน้ำตา : เล่น MV ทีไร ทำไมได้เล่นบทร้องไห้แทบทุกเพลง (หัวเราะ) พอดีมีภาพยนตร์เรื่อง ธรรณีกรรแสง กำลังหานักแสดงที่ร้องไห้ได้ ร้องไห้เก่ง นางเอกชื่อดังสมัยนั้นปฏิเสธบทนี้ไปหลายคน เป็นช่องว่างให้เราได้มีโอกาส พอไปทดสอบ เขาสั่งให้ต้องร้องไห้เดี๋ยวนี้ ขณะที่มีคนอยู่กันเยอะแยะ เราก็อาย แต่ต้องทำหน้าที่ ร้องก็ร้อง (หัวเราะ) ให้นึกว่าชีวิตเราสุดแสนจะรันทด ลูกตาย สามีตาย จนร้องไห้ออกมาได้จริง ๆ คนในนั้นก็ปรบมือให้

นางเอก : เกือบไม่ได้เป็น เพราะไปถ่ายแบบให้หนังสือ ที่เคยเคสติ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาให้เลือกชุดได้เอง มีสองเซ็ต เป็นแบบน่ารัก ๆ กับเซ็กซี่หน่อย เราก็เลือกแบบน่ารักทันที แต่จริง ๆ แล้ว เจตนาคือต้องการให้ถ่ายแบบเซ็กซี่ ที่ให้ถ่ายชุดน่ารัก ๆ ก่อนเพื่อให้รู้สึกสบายใจ ส่วนที่จะได้ค่าจ้างจริง ๆ คือ ชุดเซ็กซี่ ที่จะถ่ายในวันถัดไป พอถ่ายไปแค่เซ็ตแรก มีโทรศัพท์แจ้งว่า ได้รับเลือกให้เป็นนางเอกเรื่องธรณีกรรแสง ทำให้ไม่ได้ไปถ่ายภาพนิ่งต่ออีกเซ็ตซึ่งเป็นชุดแนวเซ็กซี่ แล้วเราจะได้เงินก็ต่อเมื่อถ่ายวันที่สอง ก็แจ้งไปว่าขอยกเลิกทั้งหมดเลย ไม่งั้นคงเกิดปัญหามาถึงแน่ ๆ โชคดีมาก ๆ

ชีวิตเปลี่ยน : การเป็นนางเอก ทำให้ชีวิตมีโอกาสดี ๆ เข้ามาอีกเยอะ เล่นภาพยนต์เรื่องแรกก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม เล่นคู่กับคุณเมฆ (วินัย ไกรบุตร) ซึ่งตอนนั้นพี่เขาดังมาก จนไม่กล้าต่อบทกัน เราไม่ได้หยิ่งแต่รู้สึกเกร็ง แต่ยังไงก็ต้องเล่นให้ได้ ทำให้เกิดความตั้งใจ ฮึดสู้ บทภาพยนตร์ราวเจ็ดร้อยหน้า จำบท อินไปกับบท ร้องไห้ไปกับตัวละครต้องมาซ้อมหน้ากระจก ดูตัวเองว่า เล่นดีรึยัง ร้องไห้ได้เป็นธรรมชาติรึยัง

ที่มาของน้ำตา : ไม่ได้มาจากความเศร้าเลย เพราะในชีวิตจริง ไม่มีเรื่องอะไรในชีวิตทำให้ร้องไห้ได้ แต่นั่นคือการฝึกฝน มีความมุ่งมั่น ถ้าทำได้ เราจะข้ามจุดที่เราอยู่ จึงต้องทำให้ได้ ทั้ง ๆ บางครั้งไม่มีเรื่องเศร้าให้นึกถึง ถ้ารับบทบาทมา ต้องตั้งสมาธิ แล้วผ่านมันไปให้ได้ คิดว่าต้องร้องไห้แล้วจะได้เป็นนางเอก (หัวเราะ) เวลาเตรียมตัวเข้าฉาก ต้องไม่พูดคุยกับใคร แยกตัวออกไปทำสมาธิ สะกดจิตตัวเอง หูไม่ฟังเรื่องอื่น เพราะถ้าคุยเยอะ มีเรื่องสนุกตลก แล้วเวลาเล่นถ้าเผลอไปนึกถึงจะขำ หากเล่นไม่ได้ ร้องไห้ไม่ได้ เวลาถูกตำหนิ ถูกด่ากลางกองถ่าย มันทำให้เราอาย ทำให้คนอื่นเสียเวลา, แต่ไม่เคยร้องไห้ด้วยความเสียใจกับเรื่องราวอะไรในชีวิต ถ้าจะให้ร้องไห้ด้วยความเข้มแข็ง ชีวิตต้องสู้ วันนี้ไม่มีเงิน อกหัก เจ็บช้ำน้ำใจ แบบนี้ก็ไม่ร้อง, แต่ถ้ารักใครสักคน แล้วรู้สึกซาบซึ้งจากหัวใจ ปลื้มใจ รู้สึกปิติ ร้องไห้แบบนี้จะออกมาเอง เกิดขึ้นตลอด

ตุ๊กตาทอง : ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนและยากมากเกินความคาดหวัง แต่เวลาที่ไม่ได้หวังผล แล้วทำได้ มันชื่นใจมาก ถ้าอยู่ตรงนี้มานานอาจไม่แปลก แต่เราเพิ่งก้าวเข้ามา ยิ่งเมื่อได้ยินประกาศชื่อของเรา ตอนเดินขึ้นไปรับรางวัล ท่ามกลางคนที่มีชื่อเสียง คนดังมากมายที่อยู่ในงาน เขาปรบมือให้เรา มันเป็นสิ่งที่เกินคาดไปมาก หลังจากนั้นได้เล่นภาพยนตร์ต่อเนื่องอีกหลายเรื่อง มีทำธุรกิจบ้าง ตั้งแต่ในยุคที่ไม่มีออนไลน์ ไม่มีสื่อโซเชียล เคยเปิดสปา ทำผ้าปูที่นอน สร้างแบรนด์ตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการทำตลาดยากมาก ต้องทุ่มโฆษณา ต้องขึ้นคัทเอ้าท์ ซึ่งราคาสูงมาก ทุนไม่มีพอ จนต้องเลิก

นักร้อง : การไม่ได้เข้าสังกัดกับช่องทีวี ทำให้คนจำเราได้ยาก พอหายหน้าไปเล่นภาพยนตร์แล้วกลับเข้ามาอีกที มันทิ้งช่วงไปนาน จนนางเอกคนอื่นมีผลงานไปกันแล้ว คิดว่าอยากร้องเพลงดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ถ้าให้เล่นหนังเล่นละคร ดูบทแป๊ปเดียวเล่นได้แล้ว แต่พอเป็นเพลง มันคนละเรื่องกันเลย คนที่จะร้องไพเราะต้องประกวดบ่อย ๆ แต่เราต้องมาเริ่มหัดกันใหม่ ต้องเรียน ต้องอาศัยความเข้าใจ ร้องจากจิตวิญญาณ เวลาร้องเพลงโชว์ตัว ต้องร้องเพลงของคนอื่น แต่พอร้องเป็นอาชีพ เราต้องไม่พลาด ต้องร้องให้เหมือนเล่นละครในเพลง อยากเพลงแม่ผึ้ง สาวเพชรบุรี ต้องร้องให้เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ถูกทิ้ง สอนให้เปล่งเสียง อาจจะสอนไม่ได้ แต่สอนให้รู้สึกเจ็บเหลือเกิน ไปฝึกเสียงให้ออกมาตามอารมณ์ อาชีพนักแสดงของเราช่วยตรงนี้ได้ ส่วนตัวชอบร้องเพลงช้า แต่เป็นอะไรที่ยากมาก ๆ จึงต้องอัดเพลงเร็วก่อน เพราะยังไม่กล้าไปร้องให้ครูเพลงหรือนักร้องที่ดัง ๆ ฟัง แต่ถ้าสักวันที่มีชื่อเสียงแล้ว จะร้องแบบไหนก็ได้ เพราะนั่นคือสไตล์ของเราแล้ว ดังแล้วอะไรก็ดีหมด (หัวเราะ) ทำให้เริ่มมีคนรู้จัก เพลงฮิตไปแล้วแต่ยังไม่รู้จักว่าใครร้อง แล้วขยับไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้มีคนรู้จักว่า จอย บียอนด์ ร้องเพลงนั้นเพลงนี้ ก็ต้องใช้เวลา

จอย บียอนด์ : ถ้าจะตั้งชื่อให้คนจำได้ จะตั้งว่าอะไรดี เป็นคนชอบไปเที่ยวเมืองนอก มีครั้งนึงไปเจอคำว่า Beyond รู้สึกว่า ความหมายถูกใจมาก ล้ำ นำสมัย เหนือความคาดหมาย เลยนำมาต่อจากชื่อเล่นเรา กลายเป็น  “จอย บียอนด์” ทำให้คนจำได้ง่าย โพรดิวเซอร์เห็นชอบด้วย เป็นชื่อที่แปลก เพราะคนที่ร้องลูกทุ่งส่วนใหญ่จะต่อเป็นคำไทย ทำให้นึกถึงเราว่า “เว่อร์วัง อลังการ” (หัวเราะ) ทำให้การโชว์ต้องล้ำ จะไปทำแบบธรรมดา ๆ ไม่ได้ ต้องใช้รถขนอุปกรณ์หลายคัน ทำให้ต้นทุนสูง ค่าจ้างก็ต้องสูง เขาไม่กล้าจ้างเราถูก เราสร้างมูลค่า ไม่ลดราคา ใครที่เห็นว่าเราคุ้มค่าก็จ้าง ถึงคนอื่นจะมีงานเยอะกว่า แต่เรามีมาตรฐาน พอใจแค่ไหนก็แค่นั้น เพราะถ้าดังแล้วขึ้นค่าตัว คนจะตำหนิได้

ชีวิตต้องดิ้น : กว่าจะถึงจุดนี้ได้ ทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยหลายอย่าง ช่วงโควิด การขายของมือสองแบรนด์เนม นาฬิกา กระเป๋า จิวเวอรี่ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่า เพราะการขายมือหนึ่ง นำเข้ามาเอง ทำได้ยากมาก ประกอบกับมีคนรู้จักที่ต้องการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าแบรนด์เนม มาปรึกษา เราก็รับติดต่อ เป็นตัวเชื่อมให้ เกิดเป็นธุรกิจใหม่ในช่วงที่เกิดวิกฤติ ซื้อขายวนเวียนอยู่ภายใน แต่พอเริ่มผ่อนคลายเปิดประเทศได้ มีการนำเข้าได้อย่างสะดวกมากขึ้น ต้องปรับตัวกันอีก ก็หันไปร้องเพลง อยากให้รู้ว่าเราคือใคร พอเช็คโพรไฟล์ได้ว่า เรามีตัวตน มีผลงาน เป็นบุคคลสาธารณะ ต้องประพฤติดี ไม่ทำความชั่ว โชคดีที่แจ้งเกิดได้ทั้งสองอย่าง ถ้าเราได้ขึ้นโชว์ในร้านใหญ่หรือสถานที่ที่ผู้คนนิยม ร้านอื่น ๆ ก็จะให้การยอมรับ จากไม่เคยมีป้ายโฆษณา ก็มีคนรู้จัก “จอย บียอนด์” ทั้งตัวและเสียง เริ่มมีติดต่อเข้ามา เมื่อมีคนตามหา เท่ากับว่าสิ่งที่พยายามทำมาหลายปี กำลังจะเดินทางไปในทางที่คาดหวัง

ติดดินเป็น : คนที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็จะมองว่า เว่อร์วังอลังการ น่าจะติสท์ หยิ่ง น่าจะมีปัญหาเยอะ เรื่องเยอะ (หัวเราะ) ด้วยชื่อ ด้วยโพรไฟล์ทั้งหมด เขาถามเลยว่า รวยหรา เราไม่ได้รวย, แต่เมื่อขายกระเป๋าหรู นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม ก็ต้องใส่เสื้อผ้าที่เข้ากัน อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมกัน มันต้องไปด้วยกันได้ การไปหาสถานที่ถ่ายทำ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องของความรวย เหนื่อยด้วยซ้ำ แต่เราต้องสร้างภาพจำให้กับผู้คน คำว่า Beyond มันต้องเกินความคาดหมาย ฉะนั้นต้องไปอยู่สถานที่สวย ๆ เราชอบเที่ยวเมืองนอก ก็จะถ่ายตรงนั้นตรงนี้ ทั้งหมดก็คือเพื่ออาชีพของเรา แต่ถ้าอยู่บ้าน จะแต่งตัวยังไง เอาผ้าพันหัว ไม่แต่งหน้า อยู่แบบเป็นตัวของเรา ก็ต้องมีวันที่อยากจะพักบ้าง แต่ถ้าทำตัวแบบนี้ ก็จะไม่ออกไปไหนให้คนอื่นได้เห็นในสภาพที่ไม่พร้อมเด็ดขาด ถ้าออกต้องพร้อม ต้องจัดเต็ม ต้องสวย (หัวเราะ)

ทำบุญ : เป็นผู้หญิงคนนึงที่ชอบทำบุญ ทำตลอด เพื่อเก็บสะสมบุญ ชาตินี้เราอาจจะไม่รวยที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุด ก็สะสมไปเรื่อย ๆ แล้วบุญที่ทำสะสมมา ก็จะส่งผลให้ไปเจอที่เหมือน ๆ กัน อยากมีความสุข อยากเที่ยว อยากทำบุญ อยากช่วยเหลือ เพราะเวลามีคนยิ้มให้ อวยพรให้ แล้วรู้สึกมีความความสุข, อยากเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีความสุข นั่นคือการท่องเที่ยว, อยู่กับคนรอบด้านที่คิดดีทำดี แต่ถ้าเจอคนคิดลบ จะออกมาทันที คนเราไม่ว่าใคร ยังไงต้องจากกันอยู่แล้ว อยากให้มีความสุข มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน อยากเจอทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี เราไม่เคยคิดร้าย สิ่งไหนไม่ดีจะเข้ามา ก็ขอปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป ไม่ต้องพบกับสิ่งร้าย ๆ คนอื่นอาจจะซื้อประกันแพง ๆ เพื่อไว้รองรับยามเจ็บป่วย แต่เราขอใช้ส่วนนี้ไปสร้างความสุข ทำให้ตัวเองไม่เครียด จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย ทำบุญกุศลทุกแบบ แต่คิดไม่เหมือนคนอื่น ไม่ต้องการสร้างภาพ อาจไม่เหมือนคนอื่น หลายอย่างคนนึกไม่ถึง เช่น ทหารผ่านศึก ที่ได้รับบาดเจ็บ พิการ ส่วนใหญ่จะถูกลืม ถูกทอดทิ้ง ใช้ชีวิตในสังคมก็ลำบาก หรือ ผู้พิการซ้ำซ้อน คนไร้บ้าน ฯลฯ เราจะไปช่วยเหลือ ทุกสิ่งที่ทำไปในวันนี้ คือผลในอนาคตข้างหน้า

คำสอนยิ่งใหญ่ : ต้องขอบพระคุณคุณพ่อและคุณแม่ ท่านทั้งสองมีความแตกต่างกันไปคนละแบบ คุณพ่อจะสอนเสมอว่า “อย่าไปเอาของใคร เดี๋ยวจะเสียของเรา” การไปเอาของเขามา จะมีบุญคุณกัน ต้องไปตอบแทน หรือเขาจะเอาของเราไปมากกว่าที่เราไปเอามาอีก, หากเป็นผู้ชาย ถ้าเราไม่รักไม่ชอบเขา วันนึงเขาอาจทวงถาม จนต้องทะเลาะ มีปัญหาผิดใจกัน, ส่วนคุณแม่ ถ้ามีความผิดเกิดขึ้น ท่านจะต่อว่าแทนคนอื่นไว้ก่อน เราโดนทันที โดนตีประจำ ไม่ว่าผิดหรือถูก ต่างจากบ้านคนอื่นที่อาจจะมีการปลอบ การให้กำลังใจ แต่เราไม่เคยเจอแบบนั้นเลย ทำให้เราไม่กล้าทำผิด ไม่อยากทำให้ท่านเสียใจ จะได้ไม่ต้องถูกตำหนิต่อว่า เพราะการสื่อสารของท่านค่อนข้างรุนแรง จนเรากลัว ไม่อยากให้เป็นห่วง เพื่อให้แม่ดูว่าเราเข้มแข็งตลอดเวลา หลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่ชอบ ก็ไม่เคยประชด หรือออกนอกลู่นอกทาง ทั้งที่ใจจริง ก็อยากให้ถาม อยากมีคนที่ให้กำลังใจ ให้คำชมกันบ้าง อยากให้ท่านภูมิใจในตัวเรา แต่คุณแม่เป็นคนที่ดีใจได้ลึกมาก ไม่แสดงออกอย่างชัดเจน เพราะแม่อยากให้เราเป็นคนดีอย่างรวดเร็ว ในวิธีของท่าน เราก็ต้องเข้มแข็ง ไม่งั้นอาจเสียผู้เสียคนไปแล้ว พยายามเข้าใจว่า นี่เป็นวิธีสอนของคนสมัยนั้น ดังนั้น ทุกสิ่งที่ทำ ต้องตั้งใจทำให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความประพฤติ พลาดไม่ได้ เพราะคุณพ่อคุณแม่คอยดูอยู่ แต่สอนกันคนละแบบ สิ่งนี้แหล่ะ ที่คอยหล่อหลอมให้เป็นตัวเรา

ความสุขของจอย : ทุก ๆ ครั้งที่ขึ้นเวที เราจะกลายเป็นคนสนุก อยู่กับใครก็จะพูดให้เขาขำ เพราะในชีวิตจริงเราไม่ตลก แต่ไม่อยากให้ทุกคนเศร้าไปกับเรา อยากทำให้ทุกคนมีรอยยิ้ม บางครั้งมีอาการบาดเจ็บ แต่พอออกไปหน้าเวที ก็ร้องเต้นอย่างเต็มที่ ลืมเจ็บ ไม่อยากให้คนที่มาดูเราผิดหวัง ใครเห็นเราก็ต้องมีภาพจำที่สร้างความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา เสื้อผ้าหน้าผม การแสดง น้อง ๆ ที่มาร่วมโชว์ ทุกอย่างต้องอลังการ อยากให้คนเห็นเราแล้วมีความสุข เพราะสิ่งที่เราเคยขาดไป ไม่อยากจะให้ใครต้องขาดเพิ่มขึ้นไปอีกค่ะ