ลีลาวดี…รักนี้นิรันดร์
เขียน..เมื่อมีลมหายใจ
ตอนที่ 4 ลีลาวดี…รักนี้นิรันดร์
ไม่มีอะไรเป็นการบังเอิญแน่นอน นอกจากธรรมะจัดสรร วันนี้เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาจากพม่าหลังจากเสียกรุงมาเป็นเวลา 7 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม 2564
มีเหตุให้ฉันต้องเดินทางมาพัทยา หลังจากกลับจากวัดใหญ่คลายคีรี โดยฉันรู้ล่วงหน้าเพียงวันเดียว เพื่อทำภาระหน้าที่บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ฉันรักเทิดทูน ศรัทธา ในความเป็นผู้นำอันกล้าหาญของพระองค์ที่ยอมเสียเลือดเนื้อสละชีวิตเพื่อแลกกับแผ่นดินไทยอย่างเป็นที่สุด เพราะไม่มีท่าน ไม่มีเรา ไม่มีเงา ไม่มีแผ่นดิน เส้นทางเดินทัพของพระองค์ ชาวบ้านเรียก ทัพพระยา ซึ่งปัจจุบัน เขียนใหม่เป็น พัทยา ฉันเห็นคลอง หนอง บึง ตามเส้นทางเดินทัพบางช่วงน้ำเป็นสีเดียวกับแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นสีเดียวเหมือนกับสีน้ำในตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยา ที่เธอเคยอยู่มา เมื่อครั้งที่ฉันพบเธอครั้งแรก… ฉันนิมนต์ครูบาอาจารย์ของฉัน พ่อเจี๊ยบ..มาโปรด แผ่เมตตาให้สรรพชีวิตในน้ำ บริเวณร้านพระนาง ของฉันที่ตั้งสง่างามเหนือน้ำในตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยาในเวลานั้น
ฉันไม่ลืมที่จะหยิบสมุดบันทึก Music is Life Write your own Lyrics ก่อนออกจากบ้านเพราะมันคือสมุดบันทึกที่ฉันรักเป็นที่สุด มีลายมือลูกๆ ฉันเขียนอวยพรวันเกิดไว้ให้ฉันเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ไว้ด้านหลัง ติดตัวมาด้วยในครั้งนี้ ฉันคิดถึงเธอ…เธอผู้สามารถสื่อสารกับฉันได้ด้วยเสียงเพลง เพลงคือชีวิตของฉันเหมือนกัน ฉันก็บันทึกเพลงที่ฉันแต่งเองไว้ในบันทึกเล่มนี้ด้วยนะ
ฉันเริ่มย้อนอดีต ทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งที่ฉันพบเธอเมื่อครั้งก่อนนั้น…ฉันชะลอรถ ค่อยๆ ขับผ่านตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยาอย่างช้าๆ โดยไม่คิดจะแวะเข้าไปด้านใน และดูเหมือนว่าจะถูกปิดไว้ชั่วคราวด้วยสถานการณ์โควิด-19 รึเปล่า ฉันก็ไม่ทราบได้ แต่ดูมันเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับสมัยก่อนที่ฉันเคยอยู่ ผู้คนมากมายทั้งคนไทยและต่างชาติที่ดูคึกคัก ฉันเร่งคันเร่งและหมุนรถกลับ เลี้ยวซ้ายมุ่งตรงสู่ชายหาดทะเลพัทยา ขับผ่านสถานที่ ร้านอาหารที่คุ้นเคยเมื่อครั้งที่ฉันมีคอนโดอยู่ริมหาดพัทยาและมาขายเสื้อผ้าไทยร่วมสมัยที่ตลาดน้ำ 4 ภาคพัทยา ฉันมองเห็นธงชาติไทยปลิวไสวอยู่ไม่ไกลนัก ฉันหันบอกน้องสาวที่สนิทอีกคนว่า ตรงนี้แหละ แล้วฉันก็หยุดรถทันที….สุดทางรัก… ที่มีต้นลีลาวดีขึ้นเรียงรายเป็นแนวยาว กำลังส่งกลิ่นหอมเย็นอ่อนโยนชื่นใจเหมือนบ้านของฉันที่รายล้อมด้วยลีลาวดีโชยกลิ่นหอมระรินให้ฉันชื่นใจทุกคืนวันเช่นกัน ฉันบอกพนักงานเสริ์ฟหญิงวัยรุ่น ว่าฉันขอนั่งมุมริมฝั่งทะเล และเอ่ยปากขอดอกลีลาวดีจากพนักงานเสริ์ฟหญิงวัยรุ่นคนนั้น ว่าฉันขอดอกลีลาวดีสัก 2 ดอก เธอตอบรับด้วยยินดี โดยหันบอกน้องสาวที่มาด้วยว่าเราเด็ดกันคนละดอกนะ แล้วฉันก็เดินนำหน้าข้ามถนนตรงไปยังธงชาติไทยที่โบกสะบัดด้วยแรงลมเป็นระยะๆ ฉันไม่ลืมที่จะหยิบสมุดบันทึกในรถ…ขณะที่น้องสาวซึ่งเดินตามหลังฉันมาใกล้ๆ พร้อมขวดน้ำ
ฟ้าดินช่างเป็นใจ ขณะที่พระอาทิตย์ยังส่องแสงแรงกล้าพาดผ่าน ท้องทะเลวิบว๊าบๆ คล้ายเกร็ดเพ็ชรเกร็ดพลอย ทำให้ฉันนึกถึงภาพที่ยังคงติดตาบนลำน้ำโขงที่ฉันไปลอยบายศรีเชิญลงบนผืนน้ำสีขุ่นของแม่น้ำโขง พร้อมกระทงอาหารโบราณและกระทงใส่เครื่องบวช ทันทีนั้น น้ำผุดพุ่งขึ้นมาให้ฉันเห็นเป็นเกร็ดเพ็ชรเกร็ดพลอยกระจายเต็มท้องน้ำงดงามยิ่งนัก ซึ่งบายศรีเชิญฉันนำมาลอยที่ทะเลพัทยาเป็นพิธีก่อนหน้าที่จะนำมาลอยอีกครั้งที่ท่าหายโศก หนองคาย ยังพอมีผู้คนอยู่บนริมฝั่งในเวลาประมาณ4ทุ่มเศษอยู่บ้างที่เห็นเหตุการณ์พร้อมๆ กับฉัน น้องๆ ฉันอีก3คนที่ยืนอยู่บนเรือแม่สองนาง ท่าหายโศก และมองเห็นบายศรีเชิญ กระทงอาหารโบราณ และกระทงเครื่องบวชวนเป็นวงกลมแบบทักษิณาแล้วหายวับลงไปในแม่น้ำโขง พวกเราทั้ง 4 คนต่างรวมพลังนำบุญส่งให้ด้วยการกรวดน้ำทะเลที่เราเตรียมมาจากพัทยา เป็นการไปหนองคายครั้งแรก ที่มีพี่สาวของฉันที่ทำร้านอยู่ตรงข้ามกับร้านฉันที่ตลาดน้ำ 4 ภาคคอยสวดมนต์ให้ด้วยความห่วงใยตลอดการเดินทาง…ขณะที่ทุกคนกำลังต่างตื่นเต้นกับภาพที่ปรากฏให้เห็นกลางลำน้ำโขงทำอะไรกันไม่ถูกรวมทั้งตัวฉันด้วย น้องสาวฉันที่มีสติกว่าใครตะโกนบอกน้องชายขออนุญาตถ่ายรูปเร็วๆ จึงได้ภาพมาพอแบ่งปันกันดู…ฉันไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนั้นซึ่งคล้ายวันนี้ที่ทะเลพัทยา…ฉันรีบวางสมุดบันทึกพร้อมกับดอกลีลาวดีประดับไว้ข้างๆ รินน้ำลงบนผืนทรายชายทะเลพัทยาที่มีน้ำทะเลเข้ามาผสมผสานจากแรงลมเป็นระลอกคลื่น เพื่อนำบุญกุศลที่ฉันสั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติถึงชาติภพปัจจุบันขึ้นถวาย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมๆกับบุรพกษัตริย์ไทย วีรกษัตรี ผู้กอบกู้ชาติแผ่นดินไทย และสรรพชีวิตน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลพัทยาพร้อมนำส่งให้เธอกับเขาด้วยณ.เวลานี้ที่มีแม่น้ำโขงเชื่อมโยงกัน เป็นอัศจรรย์ยิ่ง
กลิ่นหอมเย็นของลีลาวดี โชยอ่อน ทำให้ฉันหวนระลึกถึงครูบาอาจารย์ของฉัน พ่อใหญ่บอกฉันว่า …กลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ชนิดนี้คือ ศีลนะลูก และหันไปย้ำกับน้องอีกคนที่ติดตามฉันมาด้วยว่า ไปทำตัวให้มีกลิ่นหอมอย่างดอกลีลาวดีด้วยนะ วันนั้นท่านยังเมตตาตั้งชื่อ หนังสือเล่มแรกที่ฉันเขียนให้ด้วยว่า “ย้อนอดีตบันทึกลีลาวดี” ฉันน้อมรับคำสอนพร้อมถวายเทียนที่ล้อมด้วยดอกลีลาวดีที่ทำด้วยเทียน ที่ศาลาไก่หลังเก่า หลังจากนั้นฉันจึงเริ่มค้นคว้าเรื่องราวของดอกลีลาวดี ที่มีความงาม ทั้งรูป รส กลิ่น สี ลีลาวดี มีลีลาอันงดงาม ไม่ใช่นามพระราชทานอย่างที่ใครๆ เข้าใจกัน ลีลาวดีชื่อเดิมคือลั่นทมไม่ใช่ระทม ลั่นทม แปลว่า การละทิ้งแล้วซึ่งความทุกข์โศก เพี้ยนมาจากภาษาเขมรที่ว่า สลันทม แปลว่า รักอันยิ่งใหญ่ เป็นดอกไม้ประจำชาติลาว เรียก จำปาลาว เป็นเรื่องราวของความรักความเมตตาเช่นเธอกับเขา ที่ฉันมั่นใจว่าฉันจะทำหน้าที่ให้เธอได้ตามที่สัญญา ฉันแต่งเพลงนี้ให้เธอด้วยนะ…
ฉันเคยสัญญาไว้ จะมอบใจให้เธอนิรันดร์
แม้เราต้องห่างไกลกัน แต่ใจฉัน นิรันดร
ลีลาวดีรักนี้นิรันดร์ สองเรานั้นรักกันนิรันดร…(ซ้ำ) ไปร้องดังๆ ริมสระบัวให้เขาของเธอได้ยินเลยนะ