ความจริงที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้
ดูเหมือนบ้านเรานี้อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดยกเว้นอย่างเดียวคือ “การยืดอกรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง” เท่าที่รู้จักกับข่าวและเรื่องราวตั้งแต่จำความได้มันมีความไม่ชอบมาพากลกันอยู่เป็นประจำ ในแทบจะทุกปีมักจะมีอะไรให้ผู้คนได้คิดได้อ่านกันสนุกสนานกันไป ส่วนมากนะมันมักจะไปเป็นเรื่องระหว่าง “ช่องว่างของผู้คน” นั่นคือคนจนและคนรวย เพราะเมื่อใดก็ตามมีคดีเหล่านี้เกิดขึ้นก็อย่างที่ผู้คนเขาพูดกันคือ “คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีสตางค์” ส่วนใครจะโบกไม้โบกมือว่า “ไม่จริงๆ”…ก็ยากที่จะเชื่อถือได้ว่ากระบวนการไปทางคนที่มีอำนาจเงินมากกว่าตลอด เหมือนคดีของ “กระทิงแดง”ที่กำลังฝุ่นตลบอยู่ตอนนี้เล่นเอาบรรดาผู้รู้ในทางกฎหมายต่างไม่กล้ารับเผือกร้อนแบบเต็มตัว กว่าเจ็ดหรือแปดปีที่คนกระทำผิดไปอยู่โน่นอยู่ที่ไม่ใช่เมืองไทย หากไม่มีสะตุ้งสะตังค์มันจะทำได้หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นชาวบ้านร้านช่องไปทำแบบนี้เข้าบ้างป่านนี้ติดคุกไปนานแล้ว…หรือชาวบ้านก็คง “ยืดอกรับผิดทุกข้อหา”ไปนานแล้ว กลับมามองให้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งนั่นคือ “วิธีการเลี้ยงดูลูกหลานเขาทำกันอย่างไร”
ถ้าในเมื่อแต่เล็กแต่น้อยมีการเลี้ยงดูลูกหลานให้รู้จักผิดชอบชั่วดี เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ด้วยความที่ครูไก่เองเคยได้คลุกคลีตีโมงอยู่ในสถานที่ทำงานซึ่งเป็นของผู้รากมากดีหรือเป็นพวกคนรวยจะด้วยจากทุนเดิมของตระกูล หรือจะรวยด้วยตัวเองมันเห็นเด็กที่เมื่อ 30 ปีก่อนกับเด็กในปัจจุบัน “มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เด็กรุ่นก่อนร้อยทั้งร้อยเชื่อฟังผู้ปกครองยอมรับในกลุ่มและกติกาที่กลุ่มสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะกับครูด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง การเคารพนบนอบมักปรากฏให้เห็นเป็นธรรมดา ขนาดขี่จักรยานอยู่ข้างถนนเด็กๆ ยังเปิดกระจกมาสวัสดีกันลั่นถนนไปหมด กลับมา ณ ปัจจุบัน ระบบการเลี้ยงดูที่มีความโน้มเอียงไปทางเอาใจเด็กเป็นเรื่องใหญ่จะผิดจะถูกไม่รู้ “ลูกฉันต้องถูกไว้ก่อน” หลายครั้งหลายคราที่ครูไก่ต้องเลือกเอาความถูกต้องของครูผู้สอนเป็นหลัก ระเบียบกับระบบการสอนมันต้องมาด้วยกัน มีบ้างที่ต้องเด็ดขาดคือ “ถ้าไม่เรียนก็กลับบ้านไปนะ” หรือถ้าจะเรียนก็ต้องตั้งอกตั้งใจเรียนห้ามออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด ส่วนมากก็จะอยู่เรียนกันตลอดหรือใครที่ออกไปก็มีที่ไปเรียนกับครูคนอื่นก็ไม่เห็นว่าจะได้มรรคได้ผลอะไร สรุปว่าสามปีห้าปียังไม่ไปไหนเหมือนเดิม ที่แตกต่างคือเด็กที่ตัวใหญ่ขึ้นก็เท่านั้นเอง…ที่เหลือคือเหมือนเดิม…ไม่ได้เรื่องอะไรเลย…
กลับมาในเรื่องของทายาทพันล้านที่มีเรื่องมีราวอยู่ตอนนี้เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว เจ้าหนุ่มนี่น่าจะเป็นรุ่นที่ 3 ของเครื่องดื่มชูกำลังที่ว่า แต่การอบรมบ่มนิสัยคงไม่ได้มาจากรุ่นปู่ย่าแน่นอน เพราะหากเจ้าของตัวจริงที่คนเริ่มต้นของสินค้าตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างจะจบสิ้นไร้กังขาจากประชาชน แต่นี่ด้วยหลักของ “กระทิงแดง”ตัวจริงได้ปิดฉากตัวเองไปแล้ว การอบรมบ่มนิสัยจึงเป็นแบบเด็กสิ้นคิดในปัจจุบันนี้ ที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมายอยู่ แล้วแบบนี้เราจะโทษใครเขาได้นอกจากครอบครัวต้องรับผิดชอบ…ครูไก่เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นว่า “การเลี้ยงเด็กให้รู้จักผิดชอบชั่วดี หรือจะมีการทำโทษให้รู้สึกหลาบจำยังคงเป็นเครื่องมือที่ดีในการเลี้ยงลูก” แต่ในรุ่นครอบครัวระดับอายุ 40 ปีขึ้นก็ยังยึดเอาวิธีทำโทษลูกให้เห็นอยู่นะครับ เด็กเหล่านี้มักมีเหตุและผลในการจะเล่นและไม่เล่นให้ครูได้ทราบเสมอ…ดังนั้นหากครอบครัวก้าวข้ามความจริงเหล่านี้ไม่ได้ก็ตัวใครตัวมันครับ
ครูไก่