โควิด–19 ไวรัสล้างโลก
ระยะนี้ ไม่ว่าใครคงอมยิ้มกันไม่ออกนะครับ
มากมายหลายประเทศ ทุกทวีป มีมาตรฐานเข้มงวดอย่างที่สุด ในการป้องกันมิให้เชื้อไวรัสโควิด-19 ตัวนี้ แพร่กระจายออกไปคลุมไปทั้งโลก ด้วยมนุษย์เป็นพาหะของไวรัส
วิธีการคือ “ฟรีซ” ประชากร ในเมืองใหญ่ ในประเทศ หลายประเทศในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวจีน คนอู่ฮั่น ที่ถูกระบุว่า เป็นต้นตอแห่งการแพร่ระบาด ให้หยุดนิ่งดั่งราวถูกกักบริเวณ ห้ามเดินทาง ห้ามออกไปจากเคหสถานตนเองเด็ดขาด
พลเมืองหลายประเทศในเอเชีย แม้แต่ไทยแลนด์บ้านเรา ถูกหลายประเทศ ซีกโลกตะวันตก ปฏิเสธ ห้ามเดินทางไปในช่วงระยะนี้ หรือต้องโดนกักบริเวณ เพื่อตรวจสอบอาการมีไข้ ติดชื่อโควิด-19หรือไม่
นั่นก็เพื่อการ “ตัดตอน” ไม่ให้เกิดพาหะของโรค กระจ่ายแพร่เชื้อไปอีกนั่นเอง
ถ้ามนุษย์เรา เข้าใจในแนวทางเดียวกัน เหมือนฝูงสัตว์โลก ที่ไม่มีอะไรคิดมาก ตามแต่จ่าฝูง อย่างเดียว ว่าไงว่ากัน
อดทนที่จะ “ฟรีซ” นิ่งด้วยกัน ไม่นานไวรัสตัวนี้ก็จะเจือจาง มาแล้วก็หายไปก็ได้
นั่นคือ การมองโลกในแง่ดี
ประเทศไทยเรา กำลังมั่นใจ เป็นประเทศในเอเชียที่มีระบบการป้องกัน เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้มแข็ง รักษาระยะการะบาดได้ในขั้นที่2 ยาวนาน
อ้าว เฮ้ย..มนุษย์ปู่ย่า แอบจูงมือกันไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะโปรมันถูก กลับมาไข้ขึ้น ไปหาหมอแถวดอนเมือง แทนที่จะบอกข้อมูล..ติดไข้มาจากญี่ปุ่น จะได้เข้าระบบทันที
ดันโกหกหมอ..แก่ก็ปูนนี้แล้ว ช่างไม่มีความรับผิดชอบเลย
ชั่วเวลาที่ 3 วัน ทำให้เกิดความโกลาหล ในการกระจายมนุษย์ที่เป็นพาหะของโรค หมอ พยาบาลทั้งวอร์ด ลูกชายทำงานธนาคารไปธนาคาร หลานสาวไปโรงเรียน ซี่งล้วนเป็นพาหะของไวรัสได้ทั้งสิ้น
จากเรือนสิบ มันสามารถถึงเรือนร้อยเรือนพันได้
ก็ไอ้… ซิ่ครับ ไอ้ปู่ อีย่า
เชื้อไวรัสโคโรนา โควิด-19 จากเริ่มแรกที่ระบุว่า ไม่ได้รุนแรงไปกว่า sars ,mere, ไข้หวัดนก H1N1 ที่เคยคุกคามโลกในทศวรรษก่อน คือ ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตเพราะสาเหตุโรคอื่นที่เข้ามาแทรก
คือ นิวมอเนีย หรือปอดบวม ทำให้ระบบการเดินหายใจล้มเหลว ผู้ที่มีอัตราเสี่ยงสูง จนเสียชีวิตส่วนใหญ่ มาจากสภาพความอ่อนแอของร่างกาย มีภูมิต้านทานต่ำ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มีคนตายจากพิษโควิด-19โดยตรงเพิ่มขึ้น ข่าวที่สะเทือนโลกคือ นายแพทย์ชาวจีน ผอ.โรงพยาบาลอู่ฮั่น กลุ่มผู้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสแบบปกป้องตัวเองสูงุสด เสียชีวิตตามกันไปในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือน
นั่นคือ สัญญาณอันตราย ที่น่ากลัวยิ่ง
ปรากฏการณ์โคโรนา โควิด-19 ได้ยกระดับความตื่นตระหนก ในระดับ panic อาจแปลได้ว่า กลัวจนคุ้มคลั่ง ขาดสติ ให้กับคนทุกทวีปทั้งโลก
ได้กลายเป็น วิกฤติของโลก ยิ่งกว่า โรคระบาดใดๆ
ในยามนี้ เราก็เริ่มเห็น สัญญาณแห่ง “โลกวิบัติ” จากผลกระทบของไวรัส โควิด-19 แล้ว
เศรษฐกิจโลกก็ซบเซาอยู่แล้ว โคโรนา โควิด-19 เข้ามากระหน่ำซ้ำ ให่ฉิบหายหนักกันทั้งโลก
ธุรกิจที่เป็นเครือข่ายการเดินทาง การท่องเที่ยว ฉิบหายในสองเดือน สายการบินในเอเชียเจ๊งเป็นแถบๆ ธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตายซาก โรงแรมไร้คนมาพัก เงินเหือดหายไปจากเส้นเลือดนี้เป็นล้านล้านบาท..ก็เจ๊งหมดแบบทฤษฎีโดมิโน
หุ้นร่วงราวตกเหวตั้งแต่หุ้นระดับโลก ยันตลาดหลุกทรัพย์ไทย อันหมายความว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังดิ่งลงเหว เจ๊งราบพณาสูร
สิ่งที่น่ากลัวประการหนึ่ง ที่เหมือนฝีบ่มหนอง รอการแตก คือ
มนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีภาวะแห่งความหวาดกลัว ตื่นกลัว ตื่นตระหนก ที่เรียกว่า Panic
ความรู้สึกตรงนี้ ทับทวีมากขึ้นๆ มันจะนำไปสู่การเกลียดชัง ชิงชัง จนกู่ไม่กลับ แบ่งแยกชาติพันธุ์
นำมาสู่การ การกล่าวโทษมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะมึง! โลกจึงวิบัติ
อันเป็นอะไรที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาติ
ด้วยประวัติศาสตร์ก็มีบ่งหลายครั้ง ที่ มนุษย์ทำลายล้างกันด้วยความชังแบบนี้
จีน เป็นจำเลยของพวกฝรั่งผิวขาวซีกโลกตะวันตก ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ด้วยจุดกำเนิดไวรัส โคโรนา โควิด-19 มาจากเมืองอู่ฮั่น,ประเทศจีน
ยิ่งมนุษย์คนละซีกโลกชาติพันธุ์ ได้รับผลกระทบมากขึ้นๆ ความไม่พอใจ เพิ่มอัตราความเกลียดชังรวดเร็ว จนกลายเป็น..การเหยียดผิว racism
สำคัญก็คือ ไม่เพียงแต่ คนจีน แต่คนเอเชีย ผิวเหลือง ผมดำ ตาเล็ก ชาติพันธุ์มองโกลอยด์ อันรวมถึงคนไทยด้วย ที่ถูกฝรั่งผิวขาวเหมารวม ..”มึงก็ไอ้ไวรัสโคโรนา!”
โลกเปลี่ยนไปแล้ว
คนเอเชีย มองโกลอยด์ จะถูกจับตามองในโลกตะวันตก เหมารวมว่า เป็นคนจีน อาจถูกกักบริเวณ ถูกปฏิเสธ ด้วยสายตาหยามเหยียด อาจโดนการปฏิบัติหยาบคายในสังคมประชาคมของพวกผิวขาว
ช่วงนี้ อย่าบินออกนอกประเทศเลย โดยเฉพาะไปยุโรป..ไม่คุ้มหรอกครับ
ปรากฏการณ์ ไวรัสโคโรนา โควิด-19 ไม่ได้ฆ่าคนตายเป็นแสนเป็นล้าน ครึ่งค่อนโลกมนุษย์กลายเป็นซอมบี้ แบบที่เราได้ดูในภาพยนตร์ แต่มันทำให้โลกวิกฤติในเวลาพียงสองเดือน
ถ้าในครึ่งปีนี้ มนุษย์ไม่อาจหยุดยั้งการระบาดของมันได้ ไม่มีใคร “เอาอยู่” เศรษฐกิจโลกฉิบหายไปกว่านี้
คนผิวขาว เกลียดชิงชัง เหยียดผิว คนผิวเหลือง อนาคตแบ่งซีกโลกกันอยู่
มันก็คือ “ไวรัสทำลายล้างโลก” ได้เหมือนกัน
ส่วนคนไทยน่ะหรือ..ชิลๆ ครับ
กลัวเหมือนกัน กลัวแบบแปลกๆ
ใส่หน้ากากอนามัยให้ควั่ก กลัวติดเชื้อไวรัส แต่กลับพาตัวเองไปสุ่มเสี่ยง
ไม่น้อย ที่ใส่หน้ากากอนามัย แบบสักแต่ว่าใส่ ฟิลลิ่งประมาณ เอายันต์กันไวรัสติดจมูก
แล้วก็มีเยอะเลย ที่ใช้หน้ากากอนามัยอย่างโง่ๆ
ตัวเองน่ะใส่หน้ากาก แต่พอจะไอจะจาม พี่แกปลดสายรั้งหู เอาหน้ากากออกจากปากจากจมูก แล้วก็จาม ไออย่างเต็มที่ เสร็จแล้วก็เอาหน้ากากมาสวมต่อ
แม่งเอ้ย..เห็นแก่ตัวไงครับ กลัวหน้ากากกระดาษเปื้อนน้ำลายตัวเอง จะใช้ไม่ได้หลายครั้ง ตัวเองจะพ่นฝอยน้ำลายรัศมีระยะ5เมตรใส่รูจมูกคนอื่นอีกเป็นสิบหลายสิบ..ก็ช่างหัวมึง
นึกภาพ คนประเภทนี้ กระทำในสถานที่คนแออัด เช่น ในโบกี้รถไฟBTS/MRT มีช่วงรัชอาวร์..มันเลวร้ายปานใดฃ
พ่อแม่ family man เยอะเลยครับ ยังพาลูก พาครอบครัว ปู่ย่าตายายคนแก่ เดินห้าง กินข้าวห้าง ช้อปปิ้ง ทุกคนมีหน้ากากอนามัยใส่ครบ (ถอดออกตอนกิน) ก็มั่นใจแฮปปี้แล้ว ทั้งที่ เป็นการนำตัวไปสู่ภาวการณ์สุ่มเสี่ยง ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมา จะไม่คุ้มเป็นอย่างยิ่ง
ประเทศไทยเรา เจอการ leak หลุดรั่วของพาหะไวรัสครั้งใหญ่ จากมนุษย์ปู่ย่า ดันที่เป็นข่าว กระทรวงสาธารณสุข ประกาศ เราอยู่ในภาวะระดับ3แน่นอน
มาตรการการป้องกันการแพร่กระจายจะเข้มข้นขึ้น
แต่ที่ดีที่สุด คือ ป้องกันดูแลตัวเองให้ดีนะครับ
อย่าให้เป็นดั่งวลีนิยายกำลังภายใน..ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา
ยอดทอง