เที่ยวอย่างไรให้สนุก
เที่ยวอย่างไรให้สนุก
เรื่องการท่องเที่ยวของคนไทยในต่างแดนบางประเทศนั้นดูยากยิ่งนัก ยกตัวอย่างเช่น “ญี่ปุ่น” แต่ก่อนการจะได้เข้าไปสัมผัสกับเนื้อในของเขาแต่ละครั้งแสนจะลำบากยากเข็ญ ต้องมีทั้งเงินและงานรวมถึงประวัติที่สืบขึ้นไปเกือบจะถึงปู่ย่าหรือ 3 ชั่วคนเห็นจะได้ พอเวลาล่วงเลยเข้ายุคปัจจุบัน กฎเหล็กเหล่านั้นก็ลดน้อยถอยลงไป คนไทยเรานั้นมีโอกาสได้สัมผัสกับประเทศนี้ได้มากกว่าเดิมมากมายนัก
ครูไก่เองก็ได้รับอานิสงส์นี้กับเขาด้วยเช่นกัน อย่างที่เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า “เมืองจีน”ผมก็ชอบไปเที่ยวมาหลายครั้งหลายคราแล้ว หรือประเทศที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงของเราก็เกือบครบแล้ว แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือกลุ่มการเที่ยวของเรานั้นยังคงเป็น “กลุ่มเดิม”ตลอดและดูท่าว่าจะเจริญเติบโตขึ้นอยู่เรื่อยๆ
ทีนี้ลองมาดูกันนิดว่าทำไมการท่องเที่ยวซึ่งบางสถานที่มันไม่ได้มีความน่าสนใจเลยสักนิด แต่เราก็ยังคงสนุกสนานกับการเดินทางตลอด คิดไปคิดมาคือทั้งกลุ่มที่ไปเที่ยวเรามีความคิดที่ไปเพื่อ “พักผ่อน”จากงานประจำที่ทุกคนทำอยู่ ข้อต่อมาคือทุกคนที่ไปเรา “เฮไหน เฮนั่น” สถานที่บางจุดที่ไม่ได้น่าสนใจเราก็ขอต่อรองกับหัวหน้าทัวร์เพื่อไปในที่หน้าสนใจกว่าแล้วก็ไม่ทำความลำบากใจให้คนจัดเขาด้วย
ข้อสุดท้ายก็คือ “ทุกคนในคณะต้องใส่ใจซึ่งกันและกัน” การช่วยเหลือเกื้อกูลจะต้องมีอยู่ทุกเวลา เพราะถ้าเราไม่ดูแลผู้สูงอายุหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นความทุกข์จะมาเยือนแน่ๆ คำว่า “เทคแคร์” คงจะไม่พอ อีกคำที่ต้องใช้คือ “การบำบัด”และ “ฟื้นฟู” แต่ที่กลุ่มนี้ยังคงเที่ยวและเที่ยวกันตลอดเพราะเราใส่ใจดูแลกันอยู่ตลอดเวลา
อยากจะบอกว่า “บางคนเคยไปที่เที่ยวนี้มาแล้ว” แต่ถ้ากลุ่มนี้จัดเขาก็ไปชนิดไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น การไปเที่ยวที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้นอกจากความ “แปลกตา”ในสถานที่แล้ว “เสียงหัวเราะ”ควรจะมีอยู่ตลอดทั้งทริป ก็จะเป็นการดีที่สุด แต่ข้อนี้ดูจะเป็นเรื่องยากสักนิดที่จะทำเพราะถ้าหากกลุ่มการเดินทางนั้นต่างคนต่างมา แล้วก็ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนหน้านี้
“6 วัน 5 คืน กับ 2 ประเทศ”
อีกทริปที่ครูไก่อยากไปมานานก็ “ไทเป”กับ “ฮอกไกโด” เมื่อเราอยากไปก็วางเวลาในการเดินทาง พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอให้กับคนที่เขารู้จักกับสถานที่ พอได้คำตอบกลับมาแล้วอะไรที่เราพอใจหรืออะไรที่เราคิดว่าไม่น่าสนใจจะตัดออกแล้วก็กลับเอามาคิดคำนวณดูเวลาให้ลงตัว ขาดเหลือตรงไหนก็เพิ่มได้ในเวลาที่เราเที่ยวกัน
“ไทเป” ชื่อนั้นมันติดอยู่ในความคิดของคนไทยแทบจะทุกคนก็ว่าได้ อดีตบ้านนี้เมืองนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่งเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกันกับทั้งญี่ปุ่น หรือเกาหลีก็ว่าได้ แต่ในปัจจุบัน “ไทเป” หรือไต้หวันนี้ดูจะลดน้อยถอยความเจริญลงไปพอควร เมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกัน…จากข้อมูลที่พอจะหาได้ก็คือ ไต้หวันในปัจจุบันต้องอยู่อย่างลำบากขึ้นนิดหน่อย เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเมื่อครั้งบ้านเมืองเจริญล้ำหน้ามาก่อนหน้านี้นั่นเอง
รัฐบาลของไต้หวันมีเงินคงคลังเก็บไว้เป็นจำนวนมาก จากอดีตที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน ผู้คนในไต้หวันยังคงมีชีวิตที่เป็นสุขภายใต้แนวคิดของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกงานตกการอยู่ได้แบบไม่ลำบากยากเย็นนัก ครูไก่กับคณะอยู่ไทเป 2 คืน ทั้งๆที่เมืองนี้อาจจะไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เราก็สนุกสนานกันแทบจะทุกเวลาของการเดินทาง ขณะที่เราอยู่ไทเปก็มีข่าว “ฮอกไกโด”มีหิมะตกลงมาแล้ว และนี่คือสิ่งที่คณะเราเฝ้ารอมานานกับข่าวนี้…อย่างไรก็ตาม 2 คืนที่ไทเปนั้นคณะเรามีความสะดวกสบายเป็นที่สุด ผู้คนบ้านนี้เมืองนี้น่ารักดี ถนนหนทางสะอาดสะอ้านมาก เสียดายที่โปรแกรมจบลงไปเสียก่อน…ลาก่อน “ไทเป” มีเวลาจะมาเจาะเวลาหาความสุขอีกสักรอบนึง
ครูไก่