ใจของครูผู้สอน
วงการกีฬาของบ้านเรานี่บางทีมันก็น่า “เบื่อ”เหมือนกันแล้วผมก็เชื่อว่ามี “ครู” อีกหลายท่านที่มีความรู้สึกแบบครูไก่เนี่ยแหละ นั่นคือ “ลูกศิษย์” ของเรานับมาตั้งแต่เป็น “โคลน” แต่พอเริ่มฝีไม้ลายมือดีขึ้นก็มักจะไปอยู่กับ “สถาบัน” อะไรต่อมิอะไรกันเสียหมด ดังนั้นมันคงไม่แปลกที่ตัวของเด็กหรือผู้ปกครองอาจจะเจอกับลูกของตัวเองเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่เสมอ แล้วยิ่งตอนนี้บรรดานักเทนนิสที่ปลดระวางตัวเองจากการแข่งขันหรือ “ACADEMY” มันควรจะมีความเป็นตัวตนที่ชัดเจนกว่านี้…กล่าวคือมันควรจะมี “สถานที่” ซึ่งสามารถฝึกสอนเด็กได้ตลอดเวลา ถัดมาคือ “ผู้สอน” ต้องรักที่จะลงมาสอนเด็กๆในทุกระดับ ไม่ใช่เอาแต่ชื่อมาแปะไว้แล้วใช้ “บุญเก่า” มาทำงานแทน “ฝีมือ”
อีกเรื่องคือความรอบรู้ในชีวิตและวิญญาณของกีฬาชนิดนั้น ยิ่งเป็น “เทนนิส” ด้วยแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ การที่เราจะได้สร้างใครสักคนให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาต่อ “วงตระกูล” มันยากเย็นแสนเข็ญเป็นที่สุดเพราะส่วนมากหรืออาจจะเกือบร้อยทั้งร้อยมักจะเอาตัวเอง “โคลนนิ่ง”ให้กับเด็กไปเลย คือ “ฉันเล่นอย่างไรเธอต้องเล่นอย่างนั้น” แบบนั้นมันก็จบข่าวกีฬาตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง นั่นเพราะเด็กๆเขาควรมี “จินตนาการ”ในการเล่นของเขาเอง การปักธงให้เด็กว่าต้องแบบนั้นนะแบบนี้นะอย่างอื่นห้ามหมดมันก็ไม่ใช่นะครับ ที่ต้องเขียนแบบนี้เพราะเจอมามากมาย เราจัดท่าทางไปแบบกริ๊บทุกกระบวนท่า แต่ดันผ่าเปลี่ยนเสียหมดทั้งๆที่ของเดิมมันก็ดีอยุ่แล้ว ทั้งแรงทั้งลง รวมถึงความเข้าใจของเด็ก อยู่ดีๆก็เปลี่ยนซะง้าน
แต่ถ้าการเปลี่ยนหากทำแล้วเด็กกระโดดขึ้นไปอีกหลายขั้นเราจะไม่ว่าเลย…แต่นี่มีติด ออก เสริฟเสีย เป็นงานหลักแล้วคุณจะเปลี่ยนไป… “เพื่ออะไร” กว่า 30 ปีที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการเทนนิสนี้…บอกตรงๆนะ “ยากส์”มากถึงยากเย็นแสนเข็ญที่จะมีความเจริญขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคงเพราะความจริงใจและจริงจังในการสร้างเด็กนั้นใช้เพียงชื่อเสียงและบุญเก่ามาทำงานแทนฝีมือ เด็กเราเคยเล่นอย่างไรก็สนุกสนานกับความสำเร็จที่เราวงไว้ให้นั่นคือ “จำนวนลูกที่ลงมันมากกว่าจำนวนลูกทีเสีย” กับปัจจุบันลุกดีแทบจะนับกันได้เลยทีเดียว…ครับเรื่องพวกนี้นั้นควรมองว่าของเดิมเขาดีอยู่แล้วก็ควรคงไว้ “เพียงแต่เสริมอะไรเข้าไปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” อย่ากลัวว่าใครเขาจะไม่รู้ว่า “มาจากฉันเอง” เพราะทำเช่นนั้นมันคือวิบากรรมของเด็กนะครับ…ขอบอก
ครูไก่
