คอลัมน์ประจำอมยิ้มริมกรีน

ความน่าหวั่นของคนเชียงใหม่

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ กับปรากฏการณ์ เชียงใหม่ตกอยู่ในสภาพวิกฤติ มลภาวะอากาศปนเปื้อนด้วยปริมาณฝุ่นละออง ผุ่นควันในอากาศ เลวร้ายติดอันดับท้อปเทนของโลกทำไมปีนี้ถึง สาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ คนเชียงใหม่ ต้องปิดปากปิดจมูกตลอดวัน

ว่ากันว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ เชียงใหม่หงอยจ๊าด นักท่องเที่ยวใครต่อใครก็ต้องไปแอ่วเหนือ รดน้ำดำหัว ที่เชียงใหม่ ปีนี้หนีหมด กลัวหายใจไม่ออก

อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนเชียงใหม่เองกล้ำกลืนเหลือเกินแล้ว กับการต้อง “ทนอยู่”ในสภาพอากาศเป็นมลภาวะเช่นนี้

ผมมีเพื่อนเยอะเลย ที่เป็นคนกรุงเทพฯ ไปอยู่เชียงใหม่ ปักหลักทำมาหากินที่โน่น เพราะชอบเชียงใหม่มากกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศดีกว่า อากาศดีกว่า หน้าหนาวหนาวจริง และอีกเยอะเลย ที่ มี”บ้านหลังที่2” ที่เชียงใหม่ เป็นรีสอร์ทส่วนตัว เอาไว้ไปพัก หน้าร้อน หน้าหนาว

ถึงวันนี้ ส่ายหน้ากันล่อกแล่ก ขาย ก็ไม่มีใครซื้อ

เรื่องของเรื่องก็คือ ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่า สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ มันมาเพียงปีนี้ปีเดียว

ต่อไปก็จะไม่เป็นอีกไม่? ถ้าหากภาครัฐ “เอาจริงเอาจัง”กับการเผาป่าของชาวบ้าน

การเผาป่าของชาวบ้าน เป็นการทำมาหากินของมนุษย์ ตั้งปู่ย่าตาทวด “ผลาญธรรมชาติ” เพราะการเผาด้วยไฟ เป็นการกระทำที่ง่ายที่สุด ในการทำให้ที่โล่งเตียน เพื่อการทำไร่เลื่อนลอย

นอกจากทำไร่เลื่อนลอยแล้ว ชาวบ้านยังหวัง “ผลพลอยได้”จากอาหารจากธรรมชาติ ที่เกิดหลังจาก ไฟป่า ไฟลามทุ่ง ได้เผาลวกผ่านผิวหน้าดิน เกิดละอองตลบฟ้า ส่วนที่เป็นผงตะกอนสีดำคลุมผิวดิน พอฝนแรกตก ชาวบ้าน จะรอเก็บอาหารธรรมชาติ เห็ดทะลุดิน หน่อไผ่อ่อน การแตกอ่อนของพืชที่กินได้ เช่นผักหวาน ยอดผักหวานป่า ขายได้ราคา

ไฟป่าลามทุ่ง ภูเขาหัวโล้น ฝนแรกมา เดี๋ยวก็เขียวพรึ่บ เก็บของป่าได้เยอะ มันคือวงจรของพวกชาวบ้านที่อยู่ริมป่าริมดอย ที่สมัยก่อนนั้น ไฟป่ามาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของฤดูกาล ในช่วงปลายหนาว ก่อนฝน ที่สภาพอากาศแห้งจัด ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ สร้างอุณหภูมิสูงลิบ ใบไม้แห้งเป็นเชื้อไฟ หากมีจุดรวมแสงเกิดขึ้น ไฟก็ลุกขึ้นมาเองได้

สมัยก่อน จำนวนคนหากินกับพื้นที่ป่ามีน้อย ไฟป่ามา ก็หาของป่าพอเพียง หากนานเข้าๆ คนงอกแตกเผ่าพันธุ์ แต่ผืนป่าไม่งอก จำนวนคนที่ใช้พื้นที่ป่ามีมากขึ้น

ไฟป่าตามฤดูกาลมาช้า ไม่ทันใจ ตูก็จุดไฟเผาป่าแม่มมันเลย โดยไม่คำนึงว่า เป็นการผลาญแผ่นดิน ทำลายสภาพอากาศ ลมหายใจของมนุษย์ร่วมท้องถิ่นเท่าไหร่

จำนวนฝุ่นผงคลีที่หน่าแน่นมากขึ้นๆ ทุกปี จนอากาศเป็นพิษ อาจจะเป็นการตอบโต้ของธรรมชาติ ที่จะบอกว่า.. มันใกล้จุดสุดท้ายที่พวกมึงผลาญแล้วนะ

นอกจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ และการผลาญทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ภูมิประเทศที่ตั้งของ เมืองเชียงใหม่ อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ของปัญหาในปัจจุบัน

ในอดีตนั้น เมืองเชียงใหม่ อยู่ในพื้นที่ภูมิประเทศที่ถูกหลักยุทธพิชัยที่สุด เป็นเมืองใหญ่อยู่ในหุบ ล้อมรอบด้วยเทือกเขา เป็น กำแพงธรรมชาติ ป้องกันการรุกรานของทัพศัตรู อันเป็นพระปรีชาในการสร้างบ้านแปงเมือง ของ “สามกษัตริย์” พญามังราย,พญางำเมืองและ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่

หากทว่าการเวลาผ่านมาเกือบพันปี ภูมิประเทศของเชียงใหม่ ยังคงอยู่ แต่ภูมิอากาศในธรรมชาติเปลี่ยนไป เมื่อโลกร้อนขึ้นด้วยปรากฏการณ์เรือนกระจก

เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่อยู่ใน “แอ่ง” ล้อมรอบด้วยเทือกเขา

ความเป็นแอ่งนั้น ทำให้ “อากาศจม” อากาศเมืองใหญ่ที่คร่ำไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์จากเผาจากเชื้องเพลิงน้ำมัน ก็วนอยู่อย่างนั้น มาทบด้วย ควันไฟป่าทั้งรอบเมืองเชียงใหม่ ทั้งจากที่อื่นที่กระแสลมพามา วนในแอ่งอากาศเหนือเมืองเชียงใหม่

ปรากฏการณ์ “ผีซ้ำดามพลอย” ก็คือ ลมหนาวจากจีนที่พัดมาทางใต้ กลายเป็น ลมบนที่พัดแรง กดอากาศเสียในแอ่งหุบเขา ไม่ให้ลอยตัว ไม่มีการเปลี่ยนอากาศดีจากลมเหนือมาทดแทน อากาศเสียยังคงวนอยู่อย่างนั้น

อากาสเสีย ออกจาก “แอ่ง” ไม่ได้ ยิ่งนาน ก็ยิ่งสะสมโมเลกุลผงคลีในอากาศ หนาแน่นขึ้นทุกทีๆ

ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่คงสะสมมาเป็นสิบเป็นร้อยปีแหละ แต่ที่ผ่านมา เราไม่รู้สึก เพราะสภาพออกาศยังมีความสะอาดอยู่ จนมาถึงปีนี้เอง ที่สภาพภูมิอากาศของเชียงใหม่ วิกฤติ ถึงขีดแดง คือ มาถึง ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลา แล้ว

ด้วยสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ที่แบกรับมลภาวะเรื่อย จนถึงขีดแดง จึงเป็นคำถามที่ ตอบไม่ได้

ไอ้ที่เลวร้ายไปกว่านั้น กับพฤติกรรมมนุษย์ก็คือ

จากการตรวจสอบทางเรดาห์ จุด hot spot (จุดที่แสดงในแผนที่ทางอากาศเป็นจุดแดง จากอุณหภูมิที่สูงลิบ อันหมายถึง การปะทุของจุดเกิดไฟป่า) พบว่า เขตุป่าสงวนในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบน มีจุด hot spot พรึ่บขึ้นมานับพันจุด

มีคนจุดแน่นอน

ตามจับก็พบว่า เป็นพวกชาวบ้านที่อาศัยในเขตุป่าสงวน พื้นที่ป่าของรัฐ จงใจจุด เพื่อตอบโต้ ประชดการทำงานเข้มงวดของคนข้าราชการ ทั้งป่าไม้ ทั้งตำรวจ ที่ห้าม และตามจับชาวบ้าน พวกรุกป่าและ คนที่เข้าไปหาของป่า กับอีกพวกคือ พวกที่ทำไร่อยู่ริมขอบชายป่า ไม่ได้จุดเองก็จริง แต่ไม่ช่วยดับไฟป่า เหมือนแต่ก่อน

ดูดาย อ้างว่า เข้าไปในป่าไม่ได้ เดี๋ยวโดนจับ ทำนอง..ล่อกูนัก พวกมึงก็เดือดร้อนกันมั่ง..

พวกนี้แหละครับ ที่จงใจให้ ไฟป่าลาม หนักยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา..ผลพวงนั้น ทำลายหัวใจและปอดของคนเชียงใหม่โดยแท้

คนเชียงใหม่ น่าเห็นใจจริงๆ ก็บ้านเกิด ถิ่นเกิดตัวเอง จะให้หนีไปไหน

เครียดจัดร้องเรียน ผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะแทบจะอยู่ไม่ได้แล้ว

หลายคนร่ำๆ เข้าถึง กระทรวงมหาดไทย ขอเปลี่ยนตัวผู้ว่า เอาคุณณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯ พะเยา มาเป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ในยามนี้ได้ไหม

เพราะผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์ เป็นผู้ว่าฯขาลุย ลงมือทำเอง 24 ชั่วโมงทันที ถ้าเป็นเรื่องทุกข์ร้อนของคนของจังหวัดตน

มีคนบอกว่า ถ้าเป็นผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์ ลุยถึงจุด hot spot จะกี่ร้อยจุดก็เถอะ

เผลอๆตามจับ “มือเผาป่า” ด้วยตัวเองด้วย

ต้องขอแสดงความเห็นใจกับ คนเชียงใหม่ และ ผู้มีทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ บ้านหลังที่2 ที่เชียงใหม่ ที่รู้สึกว่า..อยู่ไม่เป็นสุขที่เชียงใหม่เสียแล้ว..

อดทนไว้ครับ และ สู้ต่อไป

รอไว้ปีหน้า ที่หวังว่า “พวกเผาป่า” โดนกฎหมายปราบสิ้น ไม่มีไฟป่า อากาศเหนือเชียงใหม่าก็ดีขึ้นดังเดิม

แต่ถ้า ซ้ำรอยเดิมอีก แสดงว่า เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศ เมืองในแอ่งเทือกเขา ยังไงก็หนีไม่รอด

ค่อยรินน้ำตา กับการยอมรับว่า การใช้แผ่นครอบจมูกปากกรองลมหายใจ เป็นของคู่อยู่กับคนเชียงใหม่ไปตลอดนับแต่นี้

ยอดทอง