คอลัมน์ในอดีต

สายใยสองภพ : ความรัก คือ สายรุ้ง (ต่อ)

ความรัก คือ สายรุ้ง (ต่อ)

หลวงตาก็เอ่ยขึ้นมาว่า เจ้าจุก เจ้าเปียเห็นรุ้งกินน้ำแต่เช้าคงตื่นเต้นกันใช่มั้ยลูก?

เจ้าจุก…ใช่ครับหลวงตา
เจ้าเปีย…ใช่ค่ะหลวงตา

หลวงตา…กว่าจะมาเป็นสายรุ้งทั้ง 7 สี ต้องรวมตัวรวมพลัง จึงจะปรากฏสีอันงดงามบนท้องฟ้า ก็เหมือนการรวมความรักความสามัคคี เมื่อรวมกันก็จะเกิดพลังอันยิ่งใหญ่เป็นพลังปาฏิหาริย์ เหมือนจุก เปีย และยาย 3 คน ก็เหมือนกันเป็นดังสายเปีย 3 เส้นมารวมกันเหนี่ยวแน่น จึงได้ตักบาตรหลวงตาทุกวันเพราะความรักความสามัคคี ขาดคนใดคนหนึ่งก็ไม่เหนี่ยวแน่น เพราะฉะนั้นกว่าจะมาเป็นสายรุ้งให้ลูกๆดูธรรมชาติก็เกิดการรวมตัวรวมพลัง บ้านเราเรียก รุ้งกินน้ำไงลูก วันนี้หลวงตาให้ธรรมะกันแค่นี้นะ หนูพอเข้าใจไหม?

เจ้าเปียชิงตอบ…เข้าใจค่ะ ต้องให้รักกัน สามัคคีกันใช่รึเปล่าค่ะหลวงตา
หลวงตา…ใช่ลูก ความรัก ความสามัคคี ทำให้ทุกอย่างสำเร็จโดยง่ายลูก
เจ้าจุก…แล้วรุ้งเกิดขึ้นยังไงครับหลวงตา
หลวงตา…เรื่องนี้จุกไปถามครูที่โรงเรียนนะ หลวงตาต้องไปรับบาตรต่อเดี๋ยวจะสาย
หญิงชรา..กล่าวคำ สาธุ สาธุ

เช้าวันนี้ที่โรงเรียนประชาบาลใกล้หมู่บ้าน เด็กนักเรียนทุกคนทั้งห้องต่างสนใจเรื่องรุ้งกินน้ำกันใหญ่ พอครูเข้าห้องเรียนส่งเสียงถามกันเจี๊ยวจ๊าว

ครูจั่น จึงอธิบายให้นักเรียนทั้งชั้นฟังว่ารุ้งกินน้ำเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศทำให้แสงสีต่างๆปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แสงที่เกิดเป็นรุ้งนั้นคือสีขาว และเกิดการหักเหจนเกิดเป็นแถบสี 7 แถบ โดยสีม่วงจะมีการหักเหมากที่สุด สีแดงจะหักเหน้อยที่สุด ทั้งหมดมี 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จุกกับเปียตั้งใจฟังและเก็บคำถามกลับมาถามหญิงชราด้วยความสงสัย

หญิงชรา นั่งเคี้ยวหมากอยู่ชานบ้าน จุกกับเปียซึ่งกลับมาจากโรงเรียนยังไม่ทันอาบน้ำ รีบแวะมาถามความในใจที่สงสัยมาตั้งแต่เช้า

ยายจ๋าๆครูอธิบายเรื่องรุ้งแล้ว ไม่เห็นเหมือนหลวงตาบอกเลย หญิงชราหัวเราะด้วยความเอ็นดู จุกเอ๊ย หลวงตาท่านเปรียบเทียบให้ฟัง ส่วนครูเขาสอนตามหลักการของทางวิทยาศาสตร์ ส่วนความเชื่อตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายเราเปรียบสายรุ้งเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ คนโบราณจึงเชื่อว่า สายรุ้งกับพญานาคเป็นสิ่งเดียวกัน โดยข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงสูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นสายฝนที่มีลำตัวของนาคเสมือนท่อส่งน้ำอย่างที่ยายเคยเล่าให้ฟังแล้วไง ถ้าจุกกับเปียอยากรู้เรื่องของรุ้งทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องไปถามคุณครู ให้คุณครูอธิบาย ยายก็รู้มาเท่านี้แหละลูก

เช้าวันรุ่งขึ้นจุกกับเปียรีบไปหาหญิงชราแต่เช้าตรู่เพื่อใส่บาตรหลวงตา แล้วรีบไปโรงเรียนด้วยความอยากรู้เรื่องรุ้งกินน้ำตามประสาเด็กๆ เมื่อถึงโรงเรียน เจ้าจุกก็ถามครูจั่นทันที คุณครูครับผมอยากรู้เรื่องรุ้งกินน้ำอย่างละเอียดครับ ครูเล่าให้ฟังอีกได้ไหมครับ นักเรียนทั้งห้องต่างก็สนับสนุนจุก เพราะเช้าตรู่วันวานรุ้งกินน้ำที่ปรากฏบนท้องฟ้าริมฝั่งโขงทำให้ทุกคนสนใจความอัศจรรย์ตามธรรมชาติที่เห็นได้ด้วยสายตา

ครูจั่น…ได้ซิ อย่างนี้นะ…เมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบกับผิวของหยดน้ำ และเกิดการหักเหอีกครั้งแล้วจึงสะท้อนออก เกิดเป็นรุ้งกินน้ำตัวที่ 1 หรือรุ้งปฐมภูมิ เป็นรุ้งกินน้ำโค้งที่ชัดที่สุดที่เราเห็นกันเป็นประจำ มีแสงสีแดงอยู่นอกสุดและสีม่วงอยู่ในสุด รุ้งปฐมภูมิเกิดจากการที่แสงหักเห 2 ครั้งและสะท้อน 2 ครั้ง และสะท้อน 1 ครั้ง แต่หากแสงมีการหักเห 2 ครั้งและสะท้อน 2 ครั้ง จะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำตัวที่ 2 หรือรุ้งทุติยภูมิ ซึ่งมีสีจางกว่า และจะปรากฏอยู่เหนือหรือด้านนอกของรุ้งปฐมภูมิ และมีการสะท้อนถึง 2 ครั้ง แม้ว่าในธรรมชาติจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้อย่างมากเพียง 2 ตัวเท่านั้น แต่ทางทฤษฎีแล้ว แสงสามารถสะท้อนในหยดน้ำได้มากกว่า 2 ครั้ง จึงสามารถเกิดรุ้งตัวที่ 3, 4 และ 5 ไปได้เรื่อยๆ ในทุกๆครั้งที่แสงจำนวนหนึ่งหักเหออกมาจากหยดน้ำ แล้วทำให้เกิดรุ้งกินน้ำตัวต่อๆไปมีความเข้มน้อยลง และเห็นได้ยากขึ้น หลายคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ดูลึกลับในสมัยก่อน ตอบได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สมัยนี้ เช่น ทำไมจึงไม่มีใครเห็นรุ้งกินน้ำตัวเดียวกันในเวลาเดียวกันได้ ถึงแม้ว่าจะยืนเคียงกันอยู่ก็ตามเหตุผลก็เพราะรุ้งมีลักษณะเป็นรังสีที่กระจายออกมาจากเม็ดละอองฝนในอากาศและมีส่วนโค้งเป็นวงกลม จุดศูนย์กลางแห่งความโค้งของรุ้งต่างจุดกัน รุ้งที่เห็นจึงไม่ใช่รุ้งตัวเดียวกัน หรือเหตุใดรุ้งที่อยู่ใกล้พื้นดิน จึงเห็นชัดเจนกว่ารุ้งกินน้ำตัวเดียวกันที่อยู่สูงขึ้นไป ก็เนื่องจากรูปร่างของหยดน้ำใกล้พื้นดินมีรูปร่างทรงกลมกว่า ทำให้การหักเหและสะท้อนเกิดขึ้นได้ดีกว่า นอกจากนั้นรุ้งจะต้องเกิดในท้องฟ้าด้านที่อยู่ตรงข้ามกันกับดวงอาทิตย์ในตอนเช้า หรือตอนเย็นเสมอ และต้องเป็นขณะที่ท้องฟ้าส่วนนั้นมีเม็ดละอองไอน้ำอยู่ด้วย ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นทุกครั้งหลังฝนตก หากแต่เกิดทุกครั้งที่มีสภาวะอากาศที่เหมาะสม คือมีละอองฝนและมีแสงแดด เราจึงอาจเห็นรุ้งอย่างเดียวกันนี้ได้จากฟองไอน้ำของน้ำตก จากฟองไอน้ำที่เราพ่นออกมาจากปากและแท้จริงแล้ว รุ้งเกิดเป็นวงกลมแต่ที่เราเห็นรุ้งเพียงส่วนหนึ่งเพราะขอบโลกบังแสงอาทิตย์ไว้ เราสามารถมองเห็นแบบเต็มวงได้หากมองจากเครื่องบินที่บินอยู่เหนือกลุ่มละอองน้ำ หรือยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองลงไปหุบเขาที่มีละอองน้ำ

นักเรียนทุกคนต้องเข้าใจด้วยนะว่า ความเชื่อความศรัทธาทุกอย่างต้องสอดคล้องกันไม่ขัดแย้งดังพระพุทธศาสนาสอนธรรมะ ธรรมะก็คือธรรมชาตินั่นเองพิสูจน์ได้จ๊ะ