ดร.ปรางทิพย์ ยุวานนท์
ดร.ปรางทิพย์ ยุวานนท์
ผู้เชี่ยวชาญประจำสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
“ชอบทำงาน แต่ไม่ชอบขึ้นเวทีค่ะ” เป็นประโยคเปิดบทสนทนากับ ดร.ปรางทิพย์ ยุวานนท์ อีกหนึ่งในผู้หญิงเก่งและแกร่งในสายวิชาการ ที่รู้จักกันดีว่า เป็นผู้บุกเบิกด้านความรู้ในเรื่องศาสตร์ทางด้านกีฬา ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการเล่นกีฬาของประเทศไทย ให้เจริญรุดหน้าอย่างที่เราๆ ท่านๆ สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต
“เพราะการทำงานในแถวสองหรือแถวสาม เราจะใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ จะทำอะไรได้อย่างที่เราคิด ที่เราฝัน มีความเป็นอิสระ บางครั้งยังได้จังหวะยิงที่สวยกว่าด้วยซ้ำ แถวหนึ่งถ้าขึ้นไปแล้วไม่พร้อมจริงๆ จะอันตราย การอยู่แถวสองแล้วส่งต่อ จะได้มีคนช่วยคัดกรอง หรือได้ผู้มีประสบการณ์ ที่มีมุมมองกว้างกว่า มาช่วยปรับให้ดีขึ้นไปอีก ที่สำคัญเราต้องมีผู้สนับสนุนที่เป็นคนดีด้วย ไม่ใช่ว่าใครให้ไปทำอะไรก็ไปทำทั้งหมด”
ช่วงสามปีที่ผ่านมา ดร.ปรางทิพย์ ได้เข้าไปช่วยงานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในกลุ่มงานของกีฬา ไปช่วยดูการปฏิรูปประเทศในเรื่องของกีฬา ได้รับการแต่งตั้งเป็น หัวหน้าทีมวิชาการ สืบเนื่องมาจนถึง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และล่าสุด คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
“การทำงานต้องมีธรรมะ ต้องอาศัยบุญ การทำความดีต่อยอดไปอีกได้เยอะ แต่ถ้าคิดอะไรที่หมกเม็ด หรือ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จะทำให้ต้องหวาดระแวง ต้องคอยระวังหลัง กลัวคนจะตำหนิ แต่ถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ ตั้งใจทำดี ผลงานออกมาดี ไม่ต้องกลัวอะไรเลย เพราะตอบได้ทุกคำถามค่ะ”
ความคิดของเราในบางครั้ง อาจจะถูกนำไปใช้โดยคนอื่น แต่ก็ไม่เคยกลัว เพราะ “ความคิดดีๆ มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่เคยหมด” ยิ่งถ้าใครสามารถนำไปต่อยอดสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดียิ่งขึ้น ก็ยิ่งยินดี ไม่หวงวิชา เพราะทุกคนมีมุมมองที่แตกต่างกัน พื้นฐานของแต่ละคนอาจจะมาช่วยเสริมเติมแต่ง ทำให้ความคิดตั้งต้นของเราไปได้ไกลขึ้นอีก สามารถทำประโยชน์ให้ส่วนรวม มีส่วนช่วยเหลือประเทศชาติได้
“โลกปัจจุบันหมุนเร็วมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์ ต้องห้ามหยุดเรื่องการศึกษา ถ้าไม่เติมอะไรใหม่ๆ เข้าไป ถ้ารู้ไม่จริง รู้ไม่ลึก ไม่ทันเขา แล้วเอาไปเผยแผ่ สอนแบบงูๆ ปลาๆ ก็เหมือนกับการทำร้ายกัน อาจทำให้เกิดปัญหาสังคมในอนาคตได้ ดังนั้นจึงไม่กำหนดตัวเองด้วยว่าจะศึกษาเรื่องอะไร อบรมเรื่องไหน ไปตรงไหนเจออะไรดีก็อ่าน เจอหลักสูตรอะไรก็อบรม มีอะไรที่ทำแล้วจะช่วยให้ตัวเองดีขึ้นก็ทำ ต้องคอยปรับตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอค่ะ”
ยุคนี้กระแส 4.0 มาแรงมาก ทำให้เกิดกิจกรรมใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับคำนี้อย่างมากมาย อย่างเช่นคำว่า Start Up จึงจำเป็นเข้าไปศึกษาให้รู้ลึกรู้จริง เพื่อที่จะตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมบ้านเมืองเราถึงต้องมีคำว่า 4.0 ทั้งจากการอ่าน จากการหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง และต้องรู้สึก “In” ไปด้วย นั่นจะทำให้เราทุ่มเท ทำด้วยความรักความใส่ใจ เมื่อได้ของจริง มั่นใจแล้ว ถึงจะนำไปถ่ายทอด เขียนเป็นตำรา เขียนเป็นยุทธศาสตร์
เมื่อก่อนนั้น กีฬา เป็นเรื่องของความสมัครใจ จะเล่น จะออกกำลังกาย จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่เมื่อคำว่า กีฬา ไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดสุขภาวะที่ดี ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่ดี มีการออกกำลังกายที่ดี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะรัฐจะใช้ช่องทางไหนในการประสานเฟืองจากตัวที่ใหญ่ที่สุด ลงไปจนถึงตัวเล็กที่สุดเพื่อให้ขับเคลื่อนไปด้วยกัน
“หน้าที่นี้ไม่ได้เป็นของการกีฬาแห่งประเทศไทย ไม่ได้เป็นหน้าที่ของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้น แต่คำว่ารัฐมนูญคือ ทุกบริบท ดังนั้นนี่คือการบ้านที่หนักสำหรับรัฐบาลนับจากนี้ไป จะทำอย่างไรให้กีฬาเข้าไปอยู่ในทุกบ้านและทุกตัวตน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ”
เด็กตั้งแต่อยู่ในท้อง แม่ตั้งครรภ์ก็ต้องดูแลออกกำลังกาย เมื่อคลอดมาเป็นทารก เข้าอนุบาล เรียนประถม มัธยม มาจนถึงวัยรุ่น ก็เป็นเรื่องของกีฬาอาชีพ คนทุกกลุ่มต้องได้รับสิทธิการออกกำลังกาย เช่น ทหารไปปฏิบัติหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บ พิการ เมื่อรักษาบาดแผลทางกายหายแล้ว การชดเชยการให้อาชีพใหม่ ก็ใช่ว่าจะจบกันเพียงแค่นี้ สิ่งที่จะทำให้เยียวยาและฟื้นฟูจิตใจได้ต้องใช้พลศึกษา ใช้กีฬา มาช่วยดูแล
“การจะทำให้คนที่ต้องพิการ แล้วกลับมารู้สึกว่ามีความสุขในสังคมได้อีกนั้น เรายังไม่เห็นว่ามีเครื่องมืออะไรที่ใช้ได้ผล นอกจากกีฬาและนันทนาการ เพราะทำให้เขาลืมความทุกข์ ทำให้รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง สามารถกลับไปทำประโยชน์ให้สังคมได้ หรือแม้แต่ ผู้ต้องขัง ต้องได้รับการส่งเสริม พัฒนา ให้มีสุขภาพที่ดีจากภาครัฐด้วย กีฬา จึงเป็นเครื่องมือ ที่สามารถใช้พัฒนาศักยภาพของคน และคำว่า คน ประชาชน หรือพลเมือง มิใช่แค่เพียงคนปกติเท่านั้น ต้องรวมถึงทุกคนและทุกส่วน สามารถเรียกร้องได้ตามสิทธิ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ปรากฏอยู่ในรัฐมนูญ”
เมื่อสนทนาเรื่องการทำงานเพื่อส่วนรวมพอสมควรแล้ว เราจึงขอถามถึงชีวิตส่วนตัวบ้าง
“ก่อนหน้านี้ทำงานกันแบบหัวปักหัวปำ จนวันหนึ่งที่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้เปิดอบรมหลักสูตรวิทันตสาสมาธิ ของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร มาสอนว่า นั่งสมาธินั่นยังไง เดินจงกลมเดินยังไง สติคืออะไร พลังจิตคืออะไร เป็นการสอนธรรมะแบบมีขั้นมีตอน มีความละเอียด เป็นการสอนตามหลักวิทยาศาสตร์ มีหนังสือให้อ่าน มีคนมาสอน”
“จิตเราเหมือนเด็กที่วิ่งเล่นซุกซน พอจับให้มาอยู่นิ่งๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ บางทีก็เห็นภาพต่างๆ เราต้องได้คำแนะนำอย่างถูกต้อง ถึงจะจัดการได้” ดร.ปรางทิพย์ เล่าถึงครั้งแรกที่นั่งสมาธิ
“คนที่เรียนหนังสือเยอะๆ จนจบปริญญาเอกหลายๆ ใบ อาจจะเคยคิดหลงตัวเองว่าเรานี่สุดยอด เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองฉลาด รู้ไปหมด ตอนแรกนึกว่าไม่มีอะไรเรียนแล้ว แต่พอมาเข้าหลักสูตรนี้ กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่เรารู้มาทั้งหมดนั้น เราไม่รู้อะไรเลย ทำให้ทราบว่า ด้านที่เป็นเรื่องของจิตใจและตัวเราเองแล้ว กลับมีความรู้แค่เด็กอนุบาล”
“ช่วงที่ผ่านมา ไม่เคยได้ดูแลตัวเองเลย ยิ่งทำงานไป โลกยิ่งเปลี่ยน คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ถึงแม้จะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องบางเรื่อง อาจจะเขลา และไม่รู้อะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาท หรือหลงตัวเองว่ามีคนยกย่องให้เกียรติ ไม่ว่าเราจะไปสอนคนอื่นได้มากมายสักแค่ไหน เราอาจจะมองข้าม พลาดในสิ่งที่สำคัญที่สุด การได้หยุดทุกอารมณ์ หยุดเรื่องราวยุ่งๆ ข้างนอก เป็นการดูแลตัวเองที่ดีที่สุด”
พออบรมผ่านไปสามเดือน ดร.ปรางทิพย์ ก็พบว่า “โลกภายนอกนี่ยุ่งเหมือนกับใยแมลงมุมเลยค่ะ” การได้หยุดเพื่อนั่งสมาธิ เดินจงกลม ทำให้ชีวิตนิ่งขึ้นอีก การนิ่งไม่ได้หมายถึงการไม่ได้ทำงาน แต่เป็นการทำงานที่ “คม” ขึ้น ใช้เวลา “สั้น” ขึ้นในการมองอะไร คิดอะไร ทำอะไร อารมณ์ต่างๆ โกรธ ฉุนเฉียว หยุดหมดเลย ถึงแม้การดูแลร่างกายด้วยการออกกำลังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำเป็นปกติ แต่เรื่องการดูแลจิตใจตัวเองกลับสำคัญยิ่งกว่า
“เมื่อก่อน นั่งสมาธิ เดินจงกลม เวลาพระเทศน์ก็ฟังแบบรู้ไปหมด แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง พอได้มาฝึกปฏิบัติด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่า การใช้เวลานั่งสมาธิแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง ช่วยทำให้ย่นระยะเวลาไปได้หลายๆ วันสำหรับการตัดสินใจอะไรที่ยากๆ”
แรกๆ ที่ไปเรียนรู้สึกอึดอัดมาก ต้องปิดเสียงเครื่องมือสื่อสาร จะปิดไปเลยก็ไม่ได้ งานต่างๆ ก็เข้ามาตลอดเวลา ทุกเรื่องเร่งด่วนทั้งนั้น แต่เมื่อมาพิจารณาดู เรื่องทั้งหมดนี้เป็นงาน “ของคนอื่นทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของเราเลย” เป็นเราต่างหาก ที่ต้องการทำอะไรให้ดีสำหรับเขา แล้วให้เขาไปช่วยประเทศชาติอีกที สุดท้ายก็เลยมาคิดว่า ถ้าไม่ดูแลตัวเอง ไม่ให้เวลากับตัวเอง ก็จะไม่มีอะไรดีๆ เลย “ทุกวันนี้จึงกลับไปสวดมนต์ก่อนนอนเหมือนเมื่อสมัยยังเด็กๆ ซึ่งว่างเว้นมานาน ทำให้นอนหลับสบาย ตื่นมาแต่เช้าก็อ่านหนังสือได้ไวขึ้น โล่งขึ้นค่ะ”
การดูแลตัวเอง ไม่ใช่การแต่งตัวสวย มีรองเท้าใหม่ หรือกระเป๋าใหม่ แต่จิตใจที่วกวน เรากลับไม่เคยทำความสะอาดกันเลย การนั่งสมาธิทำให้ใจ “ใส” ขึ้น จึงพยายามบังคับตัวเองปฏิบัติให้ได้ทุกวัน ซึ่ง “เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของความศรัทธา จะบอกให้ใครเชื่อคงจะไม่ได้ถ้าไม่สัมผัสด้วยตัวเองค่ะ”
“เวลาทำงานใหญ่ๆ ทำงานด้านการเมือง อาจจะมีปัญหาเรื่องความอิจฉาริษยาของคนข้างนอกรุนแรง ความโลภเราจะได้เห็นเยอะมาก บางครั้งมีคนเกลียดบ้าง มีเสียงติฉินนินทาบ้าง การมีสมาธิทำให้เรานิ่ง ไม่ตอบโต้ ไม่ร้อนรน ไม่ทุกข์ แถมยังมีความสุขอีกด้วย เพราะเราตอบตัวเองได้ว่า เราทำอะไรอยู่ ทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อชาติบ้านเมือง”
“เมื่อก่อนเคยคิดว่าเมื่ออายุขึ้นเลขห้าจะเกษียณตัวเอง แต่พอถึงจริงๆ ความรู้ที่สะสมมานั้นอยากจะถ่ายทอด พอถึงจุดๆ หนึ่งที่เป็นโลกของยุค ดิจิตอล ทำให้เราอาจจะเชย หรือตกยุคได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ ยิ่งรู้สึกว่าโลกเปลี่ยนไปเร็วมาก เราเหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างคนรุ่นเก่าที่มีอายุเยอะแล้ว แต่ท่านก็ยังทำงานหนักเพื่อชาติบ้านเมืองกันอยู่ ขณะที่เด็กรุ่นใหม่ๆ ก็ส่งเสียงเรียกร้องให้ฟังพวกเขาบ้าง ทำให้ต้องคิดว่าจุดของเราตรงนี้ ทันสมัยหรือว่าเชย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ณ นาทีนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือ สอนคนอื่นน้อยลง ศึกษาเพิ่มขึ้น”
“กลายเป็นว่าเราเกษียณไม่ได้ หยุดไม่ได้ เพราะอยู่ตรงกลางพอดี ปัจจุบันต้องใช้เวลากว่าครึ่งสัปดาห์เพื่อกลับมาเรียน อบรม เพื่อให้ทันสมัย ทันโลก เพื่อเพิ่มประสบการณ์และความรู้ และใช้เวลาแค่สองวันในการนำความรู้ตรงนี้ไปบอกคนอื่น มิเช่นนั้น จะไม่สามารถเชื่อมต่อระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าได้เลย”…
จากเดิมที่ทุ่มเทให้กับงานตลอดเวลา ก็เริ่มแบ่งเวลาใน 24 ชั่วโมง ให้มีเวลาเป็นของตัวเองชัดเจน เวลางานคืองาน นอกจากนั้นจะต้องเข้าห้องพระ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ซึ่ง ดร.ปรางทิพย์ ได้พิสูจน์เองแล้วว่า
“การมีสติ การเข้าหาธรรมะ การดูแลจิตใจ เป็นสิ่งจรรโลง ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ และการทำงานเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อประเทศชาติ เป็นการทำด้วยจิตใจ โดยมิคิดหวังสิ่งใดตอบแทน ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมานั้น เป็นความสุขทางใจที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลจนเกินกว่าจะประมาณค่าได้ค่ะ”