คอลัมน์ในอดีต

ศรัทธาสร้างพลัง (12)

ศรัทธาสร้างพลัง (12)

การสวดมนต์จึงเหมือนการร้องเพลง ทำให้เกิดพลังสั่นสะเทือน เวลาสวดมนต์เราต้องประณมมือ การประนมมือจะไปช่วยกระตุ้นพลังจากฝ่ามือ ไปสู่ประตูพลังเป็นการช่วยเปิดรับพลังรังสี ซึ่งช่วยคุ้มครองตัวเองเหมือนพลังที่หมุนวงล้อ ที่มีอยู่ 7 รังสี สีม่วง ที่กระหม่อม สีน้ำเงินแก่ ที่หน้าผาก สีฟ้า ที่คอ สีเขียว ที่หัวใจ สีเหลือง ที่ลิ้นปี่ สีส้ม ที่สะดือ และสีแดง ที่ก้นกบ และขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป คือ รังสีสีเทา หรือรังสีสีดำ

คนที่ล้มป่วย รังสีสีเทา-ดำ เข้าไปแทรก จะทำให้ผู้ป่วยหมดแรง หมดกำลัง คนที่อยู่รอบข้าง ถ้าเข้าใจก็จะต้องช่วยคนป่วย โดยการบอกให้คนป่วย สวดมนต์ภาวนา เพื่อไปช่วยกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้หลั่งสารเอนโดฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารสุข หรือผู้ป่วยไม่สามารถสวดมนต์ได้ ก็ให้คิดในทางบวก อย่าคิดในทางลบ ซึ่งความคิดในทางบวก จะมีผลต่อปฏิกริยาตอบสนองจากเซลล์ในร่างกาย ที่ผู้ป่วยสามารถหายป่วยได้เพราะรังสีในร่างกายมนุษย์ทั้ง 7 สี จะกลับมาสดใสอย่างเดิม ด้วยการแผ่เมตตาไปในจุดที่ป่วยนั้นๆส่วนการคิดในในทางลบจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตชั้นในให้หลั่งสารอะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งเป็นสารทุกข์ หากสารทุกข์มากกว่าสารสุขมันจะไปทำลายเม็ดเลือดขาวในร่างกายของเราทำให้ร่างกายของเราขาดภูมิคุ้มกัน

การสวดมนต์ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ เพราะเป็นการสร้างพลังให้ดวงจิตที่ดีกับตนเอง แขนทั้งสองข้างที่แนบชิดไปกับดวงจิตและหน้าอกขณะประณมมือสวดมนต์ สร้างความสงบทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งสมาธิมีความสำคัญอย่างมากในการกำหนดพลังแห่งความคิดทั้งหลายทั้งปวง

การสวดมนต์ จึงเป็นพลังที่ไปกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้หลั่งสารความสุข ส่งผลให้ชีวิตประสบความสำเร็จดังที่เราปรารถนา

เสียงของการสวดมนต์ มีพลังล่วงรู้ไปถึงเบื้องบนที่เรียกว่า สรวงสวรรค์ ดวงวิญญาณแห่งเทพยดา ดวงวิญญาณของปุถุชนทั้งหลายก็จะรับทราบเพราะพลังของการสวดมนต์เหมือนการ พร่ำเพรียก อ้อนวอน สรรเสริญสิ่งที่ดีงาม การขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย รวมถึงการแผ่เมตตา ตัวเมตตาก็จะเปิดรับกระแสพลังจากภายนอกเป็นการสร้างพลังคุ้มครองตัวเอง คนที่มีเมตตากับตัวเอง จะไม่ยอมผิดศีล ไม่ละเมิดธรรม จะประพฤติอยู่ในศีลธรรม รู้คุณค่าของศีลธรรมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” พลังแห่งศีลปิดประตูนรกทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ คือ พลังที่จะกลับมาย้อนอย่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนัก การเข้าสมาธิได้เป็นการกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้หลั่งสารเอนโดฟิน หรือ สารสุข อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดปิติสุข และยังช่วยสลายโรคภัยไข้เจ็บให้หายอย่างแท้จริง

การสวดมนต์ จึงเป็นการรวมพลังอันศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกของดวงจิตที่ก่อให้เกิดพลังที่มีอำนาจอย่างเหลือเชื่อ เป็นการสื่อให้เกิดคลื่นสมองแผ่ซ่านด้วยคลื่นอัลฟ่าได้ สิ่งที่ดีเหล่านี้เกิดจากพลังศีลพลังสมาธิ

วิธีการฝึกของผู้เขียนเป็นวิธีการปฏิบัติที่ง่ายๆอยู่กับบ้านทำบ้านให้เป็นวัดอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น ฝึกลมหายใจเข้า-ออก การฝึกการหายใจให้เป็น ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าลมหายใจเข้าคือสูดเอาสิ่งดีๆเข้าไปเพื่อปรุงโลหิต เพื่อหล่อเลี้ยวร่างกายให้มีพลัง การสูดลมหายใจเข้ายาวๆจึงเป็นการสูดเอาของดีๆให้เข้าไปขับไล่ของเสียออกมทางลมหายใจ การหายใจเป็น จึงทำให้มีอายุยืนยาว

การหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกยาวๆมันจะสามารถขับความร้อน พิษร้ายในร่างกายได้ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นเหงื่อ การหายใจให้เป็นเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง หรือเรียกว่า “ศิลปะของการหายใจ” การฝึกลมหายใจเข้า-ออก พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ไม่มีธรรมอันใดเลิศเท่ากับการเจริญสติในลมหายใจ” เพื่อเพิ่มพลังด้วยการทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสไม่เครียด ไม่วิตกกังวล จิตใจต้องว่างจาก นิวรณ์ (นิวรณ์ หมายถึง เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป) ซึ่งเป็นตัวปิดกั้นมิให้เกิดพลังหรือเรียกว่าคิดในทางลบ จะต้องคิดในทางบวก หรือแบบอิทธิบาท 4 (1.ฉันทะ มีความพอใจในการแก้ไขปรับปรุงตนเอง 2. วิริยะ มีความพยายามมีความตั้งใจสม่ำเสมอ 3. จิตตะ มีจิตใจจดจ่อในการแก้ไขปรับปรุง 4. วิมังสา  ใช้ปัญญาทบทวน พิจารณาหาเหตุผล) ยิ่งคนที่คิดในทางลบ แล้วทำเป็นคิดในทางบวก ยิ่งไปกันใหญ่เพราะไม่มีทางจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน เพราะคุณหลอกคนอื่นได้ แต่คุณไม่มีวันหลอกตัวคุณเองได้เลย เซลล์ในร่างกายของคุณเองนั่นแหละคือผู้รับรู้ การฝึกเจริญสติหรือการปฏิบัติธรรมมีผลต่อภพชาติปัจจุบัน ผู้เขียนจึงสวดมนต์ภาวนาจากบทสวดที่มีทำนองเพลงประกอบ เหมือนการร้องเพลงไปด้วย วันไหนต้องเร่งรีบไม่มีเวลาสวดมนต์ที่บ้าน ก็บนรถของเรานี่แหละตั้งจิตให้ดี พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า โปรดมารับฟังการสวดมนต์ของข้าพเจ้า แล้วสวดมนต์ให้ดังสนั่นรถไปเลย แล้วคุณจะรู้ว่ามันเกิดความสุขขึ้นจริงๆ การทำสมาธิอยู่ที่ไหนตรงไหนทำได้หมดอย่าบอกว่าไม่มีเวลาจะทำ อยู่ที่ตัวเราต่างหาก แต่เมื่อคุณสามารถกำหนดลมหายใจเข้า-ออกเป็น เข้าสมาธิได้ก็ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ด้วยเสียงเพลงอย่างที่ผู้เขียนบอก เอาเป็นว่าทำอะไรก็ได้ที่จิตของเรามีความสุข แล้วคุณจะบอกว่ารู้อย่างนี้ทำนานแล้ว

การสวดมนต์ภาวนา ทำให้เกิดอำนาจพิเศษ เป็นศาสตร์ที่ล้ำลึกที่ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นพลังแห่งสวรรค์เบื้องบนยากที่จะอธิบาย เพราะทุกอย่างเป็น “ปัจจัตตัง” ปฏิบัติเองย่อมรู้เอง ความเชื่อจึงมีพลังแต่ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะเรื่องราวบางอย่างเป็นความลับจากฟ้าเบื้องบนเฉพาะตัวเฉพาะตนแล้วแต่บุญกรรมของใครก็ของใคร ซึ่งไม่ควรยึดติดกับอดีตให้อยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

มณีจันทร์ฉาย