วินด์แฮม คลาร์ก อุทิศแชมป์ยูเอส โอเพ่น ให้แม่
วินด์แฮม คลาร์ก อุทิศแชมป์ยูเอส โอเพ่น ให้แม่
ผู้เป็นแรงบันดาลใจในเส้นทางสายกอล์ฟ
วินด์แฮม คลาร์ก โปรกอล์ฟชาวอเมริกัน ฝันเป็นจริงเมื่อคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในการเล่นกอล์ฟอาชีพจากศึก ยูเอส โอเพ่น หลังเฉือนชนะ รอรี่ แม็คอิลรอย อดีตมือหนึ่งโลกจากไอร์แลนด์เหนือหนึ่งสโตรก ที่สนามลอสแองเจลิส คันทรี คลับ ในนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมอุทิศแชมป์ให้กับมารดา ลิซ่า คลาร์ก ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมเมื่อปี 2013 ในวัย 54 ปี และเป็นผู้ปลูกฝังให้เป็นคนคิดการใหญ่ กล้าได้กล้าเสียเพื่อประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพนักกอล์ฟ ซึ่งเจ้าตัวยึดมั่นในคำสอนและปฏิบัติตามมาตลอด
ภายหลังคว้าแชมป์ วินด์แฮม คลาร์ก ได้แชร์ประสบการณ์ระหว่างการแข่งขันรอบสุดท้ายผ่าน Player blog รวมถึงบอกเล่าถึงความผูกผันกับมารดา แนวคิดคำสอนทัศนคติของท่าน และการได้ร่วมงานกับนักจิตวิทยาหญิง ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยให้คว้าแชมป์เมเจอร์แรกมาครองได้สำเร็จ
วินด์แฮม คลาร์ก โปรกอล์ฟวัย 29 ปี เผยว่า ผมรู้สึกราวกับว่าคุณแม่เฝ้ามองอยู่เบื้องบน ระหว่างการแข่งขันรอบสุดท้าย ท่านไม่สามารถมาที่นี่ได้ และผมก็คิดถึงท่านเหลือเกิน ผมรู้ว่าแม่ต้องภูมิใจในตัวผม ภูมิใจกับความสำเร็จและสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ผมอยากให้แม่อยู่ที่นี่และฉลองด้วยกัน เพราะเป็นสัปดาห์ที่วิเศษมาก เนื่องจากแม่ของผมเคยอาศัยอยู่ที่นี่สมัยท่านอายุ 20 – 30 ปีต้นๆ และผู้คนที่นี่นำรูปภาพสมัยนั้นมาให้ผมดูด้วย ดังนั้นจึงถือเป็นสัปดาห์ที่พิเศษมากที่ได้มาอยู่ที่แอลเอในสัปดาห์นี้ พ่อกับแม่ของผมแต่งงานกันที่สนามริเวียร่า คันทรี คลับ ในแอลเอ และมีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ สิ่งที่ผมคาดหวังคือให้คุณแม่ได้มาอยู่ที่นี่ และผมสามารถกอดท่าน และฉลองความสำเร็จกับท่านได้
คุณแม่เป็นคนที่คิดบวกมากๆ และเป็นแรงบันดาลใจในสิ่งที่ทำเสมอ หากท่านอยู่ด้วยกันตอนนี้พวกเราคงกอดกันร้องไห้กับความสำเร็จของผม สมัยเป็นเด็กท่านเรียกผมว่า “วินเนอร์” และบอกกับผมว่า “แม่รักลูกนะ วินเนอร์” ท่านเป็นคนชอบคิดการใหญ่ เล่นใหญ่เสมอ และผมก็เป็นลูกชายแม่ ถ้าท่านยังอยู่ด้วยเราคงกอดกันและร้องไห้มากมาย การได้ระลึกถึงท่านเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก เช่นเดียวกับการได้มาอยู่ที่แอลเอ และคว้าแชมป์ที่นี่ ยิ่งทำให้ผมคิดถึงแม่มากกว่าเดิม
ผมทำงานหนักมากและฝันถึงช่วงเวลาแบบนี้มานาน มีหลายครั้งที่ผมมองเห็นภาพตัวเองมาอยู่ที่นี่และคว้าแชมป์เมเจอร์อย่างรายการ ยูเอส โอเพ่น และรู้สึกว่าตอนนี้มันถึงเวลาของผมแล้ว นี่เป็นแชมป์รายการที่สองของผมในพีจีเอทัวร์ รายการแรกมันเหลือเชื่อมาก และครั้งนี้ก็เหลือเชื่อเช่นกัน ผมยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แต่สามารถบอกได้ว่าตอนเดินไปยังกรีนหลุม 18 มันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และปิดฉากด้วยการพัตต์สั้นเซฟพาร์คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ ช่วง 5-6 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และผมก็รู้สึกโชคดีและยินดีมากที่ได้มาอยู่จุดนี้
การคว้าแชมป์เวลส์ ฟาร์โก้ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อเดือนที่แล้วถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม เพราะก่อนการแข่งขันมีคนบอกผมว่า จะมีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับผม และหากผมไม่ได้แชมป์ก็หมายความว่าจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตามมาและผมก็จะได้เรียนรู้จากมัน เมื่อได้ผมตอบกลับไปว่า “ผมเชื่อว่าจะเป็นแบบนั้น” นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตอบแบบนั้น ผมคิดว่าผมน่าได้แชมป์เมมโมเรียล ทัวร์นาเมนท์ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเหมือนกัน ในรายการนั้น วิกเตอร์ โฮฟแลนด์ เล่นได้ยอดเยี่ยม แต่ผมก็มีโอกาส ก่อนพลาดช่วงท้าย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะปูทางให้ผมสู่ความสำเร็จที่ใหญ่กว่า และผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นที่ยูเอส โอเพ่น แต่ผมมีความเชื่อว่าจะมีสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
ผมรู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับเวทีนี้ แม้กระทั่งช่วง 2-3 ปีก่อน ตอนที่ยังไม่มีใครรู้จักผม ผมก็เชื่อมั่นว่าสามารถสู้กับนักกอล์ฟที่ดีที่สุดระดับโลกได้ และผมก็แสดงให้เห็นแล้วในเวทีการแข่งขันปีนี้ ผมขยับเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์มากขึ้น และมาถูกทางนานแล้ว ผมผ่านตัดตัวหลายรายการ จบใน 10 อันดับแรก และ 20 อันดับแรกมากมาย เป็นการปูทางมาอย่างยอดเยี่ยมก่อนมาถึงจุดนี้
ความสำเร็จในรายการเมเจอร์เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ หลังจากผมเริ่มหันมาจัดการบางอย่างกับเรื่องสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนักกอล์ฟที่ดีที่สุดของโลกเช่นกัน และการคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผมเชื่อเกิดขึ้นแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้หลงระเริงและยังคงนิ่ง ไม่คิดอะไรที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป แน่นอนว่าผมต้องฉลองความสำเร็จในการคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น แต่ผมเป็นคนชอบการแข่งขัน ผมอยากเอาชนะทุกคน แต่ก็อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนเช่นกัน
เมื่อเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้าย ผมคิดว่า ริกกี้ ฟาวเลอร์ (ผู้นำร่วมรอบที่สาม) มีความกดดันมากที่สุดในฐานะเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย และทุกคนต้องการให้เขาชนะมากกว่าคนอื่น ส่วนผมกดดันตัวเองมากกว่า แต่เป็นเรื่องดีที่ผมถูกมองว่าเป็นม้ามืด
ผมรู้สึกยินดีมากที่แคดดี้และเอเยนต์ของผมแนะนำโค้ชจิตวิทยาท่านหนึ่งกับผมเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เธอชื่อ จูลี่ เอเลียน พวกเขาบอกว่าผมควรร่วมงานกับเธอ ตอนแรกผมก็ลังเล แต่ตอนนี้ผมดีใจมากที่มีเธอเข้ามาในชีวิต มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นว่าผมพัฒนาขึ้น และทำได้ดีมากขึ้นขนาดไหน ซึ่งเธอช่วยผมได้มากเลยทีเดียว ผมคงไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นแชมป์เมเจอร์เมื่อ 6-7 เดือนก่อน
ระหว่างการฝึกซ้อมที่ไดรวิงเรนจ์ จูลี่กับผมคุยกันทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องกอล์ฟ เราพูดถึงการเดินทาง พูดถึงบ้านเรือนที่สวยงามที่นี่ เธอพยายามทำให้ผมผ่อนคลาย การแข่งขันรายการเมเจอร์เป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องเตรียมพร้อมในเรื่องความคิด บางครั้งจึงเป็นเรื่องดีที่ได้หันไปมองสิ่งต่างๆ รอบตัวดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมองว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันและเราเคยผ่านมันมาแล้วเป็นพันๆ ครั้ง จูลี่มีความสุขุมและนิ่งมาก การมีเธออยู่ที่นี่ทำให้ผมนิ่งสงบและผ่อนคลาย
เป็นเรื่องยอดเยี่ยมมากเมื่อเดินลงสนามในรอบสุดท้ายและได้ยินเสียงแฟนกอล์ฟส่งสียงเชียร์เรียกชื่อ ริคกี้ เพราะมันยิ่งช่วยปลุกไฟในตัวผมให้ฮึกเฮิมและเชื่อว่าสามารถเอาชนะเขาได้ จูลี่บอกผมว่า ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแฟนๆ ส่งเสียงเชียร์ “ริคกี้” ให้คิดถึงเป้าหมายของตัวเอง และแสดงศักยภาพให้ทุกคนเห็น และผมก็ทำแบบนั้น โดยในระหว่างการแข่งขันรอบสุดท้ายผมเตือนตัวเองเรื่องเป้าหมายที่วางไว้เกินกว่า 100 ครั้ง ตอนนี้แฟนๆ น่าจะจดจำและส่งเสียงเชียร์เรียกชื่อผมมากขึ้นในอนาคต
ภาพ : Getty Images