Interview

ประเสริฐ บุญชู – Novotel Bangna

ประเสริฐ บุญชู
ผู้จัดการใหญ่ Novotel Hotel & Resort Bangkok Bangna
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา”

แถวหมู่บ้านผมที่พังงา ครอบครัวที่มีฐานะดีกว่าเรา เขาไม่นิยมส่งลูกให้เรียนหนังสือ แต่พ่อแม่ของผม เป็นครอบครัวเดียวในหมู่บ้านที่ส่งลูกๆ ทั้ง 10 คน ให้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ เพราะว่าเราจน ไม่มีที่ดิน ไม่มีสวนยางพอแบ่งให้ เลยต้องให้ทุกคนเรียนเพื่อเป็นทุนติดตัว แล้วแต่ละคนก็มีหน้าที่เหมือนๆ กันคือ พี่ทำงานเพื่อส่งเสียให้น้องๆ เรียน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ไป

ตั้งแต่ ป.3 ผมก็เป็นนักกีฬาของจังหวัด เป็นนักกรีฑา เป็นนักวิ่ง คุณครูที่สอนผมช่วง ป.1 ถึง ป.4 เป็นนักกีฬาวิ่งของเขต 8 ทุกเช้ามืดเขาจะช้อมวิ่งแล้วก็ปลุกให้ผมไปวิ่งด้วย จนผมได้คัดเลือกติดเป็นนักกีฬาของการแข่งกีฬาตำบล กะไหล – ท่าอยู่ วิ่งตั้งแต่รุ่นเล็กสุด ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้ลงวิ่งในระดับกีฬาเขต เมื่อสมัยเด็กอายุราว 11-12 ผมยังเคยวิ่ง 100 เมตร ชนะนักวิ่งที่ต่อมาเป็นนักกีฬาทีมชาติมาแล้ว แต่หลังจากนั้นพอผมมาเล่นฟุตบอลก็เลิกวิ่งแข่งไป จริงๆ แล้วผมเล่นกีฬาทุกอย่าง เล่นได้เกือบทุกประเภท แต่ก็ค่อยๆ เลิกชนิดอื่นๆ ไปจนเหลือแค่ฟุตบอลอย่างเดียว

จนผมจบชั้น ม.ศ.5 จากโรงเรียนประจำจังหวัด ดีบุกพังงาวิทยายน ช่วงนั้นผมเล่นกีฬามากกว่าเรียน จนอาจารย์ต้องตามเข้าห้องกลับมาเรียน แต่ยังโชคดีที่อาจารย์พลศึกษาช่วยให้ผมผ่านเกณฑ์มาได้ และโชคดีอีกครั้งเมื่อ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มาแนะแนวเรื่องการเปิดสาขาการโรงแรม ที่วิทยาเขตภูเก็ต จบแล้วได้อนุปริญญา ผมก็ลองไปสอบดู เพราะถามตัวเองแล้วว่า ชีวิตชอบอะไร คำตอบคือ… เที่ยว เพราะฉะนั้นสาขานี้คือคำตอบของผม

พอเข้าเรียนได้เทอมสองก็มีเจ้าของกิจการโรงแรมมาติดต่อให้ไปทำงาน พนักงานทั่วไปทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่พวกเรานักเรียนให้ทำแค่ 6 ชั่วโมง เพื่อจะได้เรียนหนังสือด้วย แล้วยังให้เงินเดือนขั้นต่ำเท่ากัน เราทำงานสารพัดหน้าที่จนได้ประสบการณ์ แล้วขยับสับเปลี่ยนทำงานไปในโรงแรมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อยู่นานที่สุดก็ที่ ป่าตองบีช สามารถทำงานได้โดยไม่เบียดบังเวลาเรียน แล้วช่วงจะสอบเขาก็ให้ลาหยุดไปอ่านหนังสือได้อีก

การเข้าไปทำงานในโรงแรม โดยพวกผมเป็นนักเรียนที่เรียนมาสายนี้โดยตรง นับว่าถูกใจผู้บริหารมาก บางครั้งแขกมาคุยกับพนักงานไม่รู้เรื่อง ก็ต้องมาเรียกพวกผมซึ่งเป็นเบลบอยให้ไปคุยให้ ผู้จัดการจึงให้ความดูแลเราดีมาก และยังเอ็นดูที่พวกเราเป็นเด็กนักเรียนแล้วมาทำงานพิเศษหารายได้ส่งเสียตัวเอง นับเป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างที่ได้มาเรียนการโรงแรม เพราะเราจะได้ทั้งความรู้ในห้องเรียนและประสบการณ์ตรง โดยเฉพาะเรื่องภาษา ทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสาร พูดตอบโต้กับแขกได้คล่อง จากการปฏิบัติงานจริง

เมื่อเรียนขึ้นปีสอง อาจารย์แนะนำให้ไปฝึกนอกเขตภูเก็ต เพราะตอนปีหนึ่งฝึกที่ภูเก็ตมาแล้ว ผมเลือกมาที่โรงแรมอินทรา เป็นการมากรุงเทพฯ ครั้งแรกของผม ทุกวันต้องผูกไทด์ใส่สูท เหนื่อยร้อนจนตัวเปียกทุกวัน ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ คอยให้ข้อมูลกับแขก ซึ่งผมสื่อสารได้ แต่ก็ต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อมาตอบคำถาม เพราะเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางหรือสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ มากนัก

พอฝึกงานได้สองเดือน ผู้จัดการ มาชักชวนให้มาทำงานด้วย ผมก็ถามว่าแล้วเพื่อนๆ ต่างสถาบันที่มาฝึกงานด้วยกันล่ะ จะได้ทำงานด้วยหรือเปล่า เขาตอบว่า รับแค่ผมคนเดียว เพราะเห็นว่ามีทักษะในการให้บริการกับแขกที่แตกต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับประสบการณ์มาเต็มๆ จากการเรียนและการทำงานที่ ป่าตองบีช

ทำงานอยู่ได้แค่สองเดือน เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ต้องว่ายน้ำไปเปลี่ยนชุดทำงานทุกวัน จนตัดสินใจกลับบ้าน เพราะคิดว่ายังไงบ้านเราน้ำก็ไม่ท่วม พอดีเพื่อนชวนให้ไปสมัครงานที่ เพนนินซูล่า ซึ่งตอนนั้นเตรียมจะเปิด ผมไปสัมภาษณ์ก็ผ่าน แต่มาติดตรงที่ยังไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร ทำให้ผมต้องกลับบ้าน ไปทำอาชีพเดิม… กรีดยาง

ผมถามตัวเองว่า แบบนี้แล้วเราจะเรียนมาทำไม คนอื่นที่ไม่เรียนก็ทำงานแบบนี้ได้ เลยหันไปเตะฟุตบอลจริงจังมากขึ้น เป็นนักกีฬารับจ้างเดินสายในแถบภาคใต้ แมทช์ละเท่าไหร่ก็เอา ไปกันทั้งหมด 3 คนพี่น้อง ผมเล่นหน้า น้องอีกคนเล่นกลาง อีกคนเล่นหลัง จนเขาตั้งฉายากันว่า 3 ทหารเสือ

วันหนึ่งทราบข่าวจากน้าชายว่าจะมี ป่าตองคัพ เป็นแมชท์ใหญ่ ทีมโรงแรมส่งแข่งกันเยอะมาก หมู่บ้านโคกขามที่น้าชายอยู่ก็ส่ง เลยชวนให้ผมไปเล่นให้ จนทีมโคกขามเข้าชิงฯ กับโรงแรมป่าตองบีช เราชนะ 1-0 ผมเป็นคนยิงด้วย พอเล่นจบมีคนมาถามเลยว่า ทำงานอะไรอยู่ แล้วก็ยื่นนามบัตรให้ บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปหา ผมรับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าแบบลืมไปเลย จนวันรุ่งขึ้นตื่นสายๆ หยิบขึ้นมาดูถึงเห็นว่าคนที่ชวนเป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมป่าตองบีช พอผมไปพบจนผ่านการสัมภาษณ์ ก็ได้ทำงานเป็นรีเซฟชั่น ตอนนั้นกำลังวัยรุ่น ยังชอบเที่ยวชอบผจญภัยอยู่ ใช้เงินเก่ง แต่ตำแหน่งนี้มีแค่เงินเดือนไม่มีเงินพิเศษอะไร ผมก็ชวนเพื่อนที่เป็นเบลกัปตันให้มาแลกหน้าที่กัน โดยผมให้เหตุผลว่า ถึงแม้เงินจะน้อยกว่าแต่มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เหมาะสำหรับคนที่เริ่มมีอายุมากขึ้น ซึ่งเขาก็เข้าใจและยอมแลกด้วย และผมก็ไปคุยกับเพื่อนๆ ที่ทำหน้าที่เบล บอกว่าตำแหน่งของพวกเราเท่ากันทุกคน ไม่มีใครเป็นหัวหน้า ส่วนเรื่องตารางการทำงานเดี๋ยวผมทำให้ก็ได้ ที่ทำได้แบบนี้เพราะเรามีพื้นฐานมาทั้งจากการเรียนและเคยทำงาน เมื่อมีใครลาออกในตำแหน่งไหน ผมก็ต้องไปช่วย ทำให้มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นไปอีก จนทำได้ทุกตำแหน่ง แต่ผมเองก็ยังดื้อยังเกเร ทำผิดกฏผิดระเบียบบ้าง จนได้รับใบเตือนอยู่เป็นประจำ แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งเพราะอาศัยความเป็นนักฟุตบอล

ผมย้ายงานไปอีกหลายโรงแรม แต่หลักๆ คือ โรงแรมนั้นต้องมีทีมฟุตบอล หากไม่มี ต่อให้มีรายได้มากกว่า ผมก็ไม่ไปทำ แล้วตำแหน่งหน้าที่การงานก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จน ที่ ฮอลิเดย์อินน์ ซึ่งมาเปิดเป็นแห่งแรกในประเทศไทย แล้วก็หานักฟุตบอลเข้าทีมด้วย เขาก็เรียกไปสัมภาษณ์แล้วให้ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ ผมก็ไม่กล้ารับ ขอเป็นแค่ซูเปอร์ไวซ์เซอร์ แล้วถ้าดูงานผ่านค่อยเปลี่ยนตำแหน่งก็ได้ แต่ทางโรงแรมบอกถ้าไม่รับตำแหน่งนี้ก็ไม่มีตำแหน่งอื่นให้ ซึ่งนโยบายของโรงแรมคือรับเด็กๆ ใหม่ๆ เข้ามาทำงาน ไม่มีประสบการณ์ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปหัดไปฝึกเอาได้

โรงแรมจ้างผู้ช่วยฯ ถึง 4 คน ผมอาวุโสน้อยสุด แล้วก็มาจากสายคอนเชียสเพียงคนเดียว ที่เหลือมาจากออศฟิศส่วนหน้าทั้งนั้น แต่ทำไปได้แค่ไม่กี่เดือน ก็ทะยอยออกไปหมดจนเหลือผมเพียงคนเดียว ต้องทำงานตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าจนถึงตีสามทุกวัน

หลังจากโยกย้ายไปเรื่อยๆ จนเมื่ออายุราว 28 ผู้บริหารของโรงแรมที่ผมอยู่ตอนนั้นได้เรียกเข้าไปสอบถามว่า ผมจะรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้หรือไม่ เพราะเขารู้ว่าคนที่ทำงานตัวจริงคือผม แล้วจะยกเลิกสัญญาผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบันซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้านายเก่าผม แต่เขาไม่ถนัดเรื่องงานโรงแรม พอได้ยินแบบนี้ผมลาออกเลย เพราะรู้ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ก็ไปสมัครงานที่อื่น จนเจ้านายเก่ารู้เรื่องราวว่า ที่ผมออกไม่ใช่เพราะมีปัญหา แต่เพราะเรารักษามารยาท พอเข้าใจกันแล้วเขาก็ให้พี่ชายลาออก เมื่อมาเจอกันอีกครั้ง พี่ชายของเจ้านายเก่าถึงกับมากอดผมแล้วบอกว่า ทำไมต้องทำแบบนี้ มาบอกตรงๆ ก็ได้ เขายินดีอยู่แล้ว แล้วก็กล่าวขอบคุณผม และนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรับตำแหน่ง จีเอ็ม เป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม หน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เราได้อัพเกรดปรับปรุงจากโรงแรมเล็กๆ ธรรมดาๆ ให้มาเป็นโรงแรมที่มีทุกอย่างครบ ค่าเช่าพักจากไม่กี่ร้อยก็ขยับขึ้นเป็นหลักหลายพัน แขกเข้าพักก็เต็มตลอด พนักงานทุกคนได้รับเงินเดือนเพิ่มกันถ้วนหน้า มีโบนัสให้ แต่ไม่ว่าจะทำงานมากแค่ไหน ผมก็ไม่เคยทิ้งเรื่องกีฬา ฟุตบอลก็ยังเล่นมาตลอด แล้วยังมาทำทีมตระกร้อ มีนักกีฬาตัวดังๆ มาเล่นให้กับทีมเราอีกด้วย

หลังจากนั้นผมเริ่มหันมาทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย ทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดนั้นต้องขายเพื่อใช้หนี้หมด เพิ่งมารู้ตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่อเป็นลูกจ้างอาชีพ ถึงขนาดเคยถามเจ้าของโรงแรมว่า “เรียนที่ไหนมาครับ ผมจะไปเรียนบ้าง?” เจ้าของก็ถามกลับว่า “ทำไมล่ะ?” เลยตอบท่านไปแบบขำๆ ว่า “เรียนแล้วจะได้เป็นเจ้าของบ้างครับ”

ผมเดินทางไปอีกหลายที่ จนเจอเพื่อนที่อยู่แอคคอร์ เขาบอกว่าเสียดายความรู้ อยากให้กลับเข้ามาทำโรงแรมในเครือ แต่ผมอยากจะทำงานที่อื่นที่ไม่ใช่ภูเก็ตบ้างเพราะอยู่ที่นั่นนานมากแล้ว ก็มีให้เลือกที่เชียงใหม่กับขอนแก่น พอดีช่วงนั้นมีซีเกมส์ที่เชียงใหม่ แล้วผมไปไหนก็อยากจะเล่นฟุตบอลในสนามกลางของจังหวัด อยากเตะในสนาม 700 ปี เลยตัดสินใจไปอยู่ โนโวเทล เชียงใหม่ แต่อยู่ได้ช่วงสั้นๆ เขาก็เปิด โนโวเทล ที่ภูเก็ต ผมกลับมาเป็นผู้จัดการฝ่ายห้องพัก แล้วก็ขยับมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายและห้องพัก

พออยู่ตรงนั้นได้เรียนรู้ประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น ก็มีโอกาสมาสอบทุนของแอคคอร์ Vivier Program เป็น Asian Development Program ในเอเชียก็จะคัดเลือกผู้บริหารระดับสูงประมาณ 10 คนต่อปี ผมโชคดีที่ได้เรียนเป็นรุ่นแรก เรียนกับ Accor Academy มาสอนให้ถึงประเทศไทย ใช้เวลาเรียน 9 เดือน แล้วผมก็เลือกไปปิดคอร์สที่โรงแรมในออสเตรเลีย ความภาคภูมิใจก็คือ เป็นคนไทยรุ่นแรกที่ได้เรียนกับสถาบันนี้

ชีวิตในสายงานโรงแรมยังต้องเดินทางต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนมาลงตัวที่ โรงแรม พูลแมน ขอนแก่น ซึ่งที่นี่ผมเคยมาอยู่แล้ว พอมาถึงก็สานงานต่อได้เลย เช่นการประชุมสัมนาต่างๆ ของทางราชการ เข้างานวันแรก ยอดเช็คอินเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มีลูกค้าของผมอยู่ด้วย จนปี 2011 โรงแรมได้รับรางวัล Best of Hotel Operation of Thailand มีผลกำไรสูงสุดของประเทศ ผมจึงได้รับการสนับสนุนให้มาเป็น ผู้จัดการใหญ่ ของ โนโวเทล บางนา จนถึงปัจจุบัน

เมื่ออายุมากขึ้น ฟุตบอลได้เล่นน้อยลง ผมจึงหากีฬาอื่นเล่นบ้าง แล้วก็มาลงตัวที่ กอล์ฟ ก่อนหน้านี้เตะฟุตบอลอย่างเดียว ไม่เคยสนใจ ได้อุปกรณ์มาก็ยกให้คนอื่นหมด แต่พอเริ่มเล่นแล้ว แค่ไม่กี่เดือนก็ได้ โฮลอินวัน พอวันไปรับประกาศจากสนาม ลงไปเล่นกอล์ฟ ห่างกันแค่ 6 วัน ก็ได้โฮลอินวันอีกครั้ง ถัดไปอีกปี ก็ได้โฮลอินวันครั้งที่ 3

ผมทำกอล์ฟการกุศลที่ขอนแก่นอยู่หลายปี ประสบความสำเร็จทุกครั้ง พอมาอยู่ที่นี่ก็ทำมาแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ถือเป็นโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 22 ปี ของโรงแรมโนโวเทล บางนา อีกด้วย เป็นการสร้างกุศล หารายได้สมทบทุนให้กับ มูลนิธิเวชดุสิตฯ ซึ่งเราก็หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากนักกอล์ฟผู้มีจิตกุศลอีกเช่นเคย

ผมคิดเสมอว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของ แล้วโดนผู้บริหาร หรือใครเอาส่วนแบ่งไปอย่างไม่เป็นธรรม ผมเจ็บนะ, ถ้าผมเป็นลูกค้า จ่ายเงินแล้ว แต่ได้รับการบริการไม่ดี ผมก็รู้สึกไม่ดีแน่, ถ้าผมเป็นพนักงาน แล้วได้รับการดูแลไม่ดี ผมก็ไม่มีกำลังใจในการทำงาน ทั้งสามส่วนนี้ เป็นหลักการในการทำงานของ แอคคอร์ นั่นคือ เจ้าของ ลูกค้า และ พนักงาน มีความต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน และผมยังยึดถือในเรื่องของความ เอาใจเขา มาใส่ใจเรา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของผม เพราะถ้าเราคิดถึงทุกคนด้วยใจของเราแล้ว รับรองได้ว่า เราทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุด และอยู่กันอย่างมีความสุขแน่นอนครับ