พระมหากษัตริย์นักกีฬา
พระมหากษัตริย์นักกีฬา
ด้วยพระปรีชาสามารถ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงชนะเลิศการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2510 ซึ่งเป็นวันพิธีปิดการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ณ สนามศุภชลาศัยสถานกีฬาแห่งชาติ ต่อมาจึงได้มีการกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันกีฬาแห่งชาติ” เพื่อเฉลิมฉลองและน้อมรำลึกถึงพระปรีชาสามารถด้านกีฬาของพระองค์ท่าน
ยิ่งไปกว่านั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงส่งเสริมให้ประชาชนเห็นคุณค่าของกีฬา ดังพระบรมราโชวาท ในวันเปิดการแข่งขันกรีฑานักเรียนประจำปี วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2504 ว่า
“..การกีฬานั้นนับเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการกล่อมเกลาให้เด็กมีจิตใจอดทน กล้าหาญ รู้แพ้รู้ชนะ ปลูกฝังพลานามัยให้แข็งแรง เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้มีสมรรถภาพ ทั้งในทางจิตใจและร่างกายเป็นผลสืบเนื่องไปถึงการเป็นพลเมืองของชาติอันเป็น ยอดแห่งความปราถนา..”
พระราชดำรัสนี้แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานในเรื่องการส่งเสริมการกีฬาว่า เป็นสิ่งจำเป็น และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาบุคคลและประเทศชาติ จึงทรงส่งเสริมกีฬาทุกประเภท พร้อมทั้งทรงกีฬามากมายหลายประเภทเช่นกัน
เมื่อย้อนกลับไปดูพระราชจริยาวัตรด้านกีฬาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น จะพบว่าทรงโปรดการกีฬามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ก็ทรงเล่นสกีน้ำแข็ง บ่อยครั้ง และยังสนพระทัยในกีฬาหลายประเภท เช่น สกีน้ำ, ว่ายน้ำ, เรือกรรเชียง, เรือพาย, แบดมินตัน, ยิงปืน, กอล์ฟเล็ก, การแข่งขันรถเล็ก, เครื่องร่อน และอีกหลายประเภท ซึ่งกีฬาที่ทรงโปรดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความรู้รอบตัวและเทคนิคไหวพริบ ไม่ได้ใช้แต่เพียงพละกำลังอย่างเดียว ซึ่งทรงพอพระทัยกับการเผชิญความท้าทายในเกมกีฬาเป็นอย่างมาก เช่น เทนนิส เรือใบ ทรงศึกษาข้อมูลของกีฬาแต่ละประเภทอย่างละเอียด และทรงฝึกฝนจนปฏิบัติได้ดี
โดยเฉพาะ “เรือใบ” หนึ่งในกีฬาที่ทรงโปรดปรานมากไม่เพียงแค่ทรงเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น หากแต่ได้แสดงพระอัจฉริยภาพด้วยการต่อเรือจากฝีพระหัตถ์ด้วยพระองค์เองด้วย โดยลำแรกที่ทรงต่อด้วยพระองค์เองเป็นเรือใบพระที่นั่งเอ็นเตอร์ไพรส์ โดยพระราชทานชื่อเรือว่า ราชปะแตน และต่อมาทรงต่อเรือใบประเภท OK ขึ้นอีก พระราชทานชื่อว่า นวฤกษ์ ซึ่งเรือนวฤกษ์นี้เองทรงนำมาใช้ในการแข่งขันกีฬาเรือใบในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 (กีฬาซีเกมส์) ด้วย
นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงคิดค้น ออกแบบ และสร้างเรือใบขึ้นมาด้วยพระองค์เองอีกหนึ่งลำ พระราชทานชื่อว่า เรือใบแบบมด ได้มีรับสั่งว่า “ที่ชื่อมดนั้นเพราะมันกัดเจ็บๆ คันๆ ดี” ต่อมาทรงพัฒนาเรือแบบมดขึ้นมาใหม่โดยได้พระราชทานชื่อว่า เรือใบ แบบซูเปอร์มด และเรือใบในตระกูลมดนี้ลำสุดท้ายที่ทรงออกแบบคือเรือใบ แบบไมโครมด ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักแล่นเรือใบทั้งหลาย
ส่วนเรือใบอีกหนึ่งลำที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงต่อเรือขึ้นมา เป็นเรือใบประเภท OK พระราชทานชื่อเรือว่า VEGA หรือ เวคา (เป็นชื่อดาวที่สุกใสดวงหนึ่ง) และในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2509 ทรงใช้เรือลำนี้เป็นพระราชพาหนะเสด็จฯ ข้ามอ่าวไทยจากวังไกลกังวล หัวหิน ข้ามอ่าวไทยไปขึ้นฝั่งที่หาดเตยงาม ในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ่าวสัตหีบ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 60 ไมล์ทะเล ด้วยพระองค์เองเพียงพระองค์เดียว ทรงใช้เวลาในการแล่นใบถึง 17 ชั่วโมงเต็ม และได้ทรงนำธง ราชนาวิกโยธิน ที่ทรงนำข้ามอ่าวไทยมาด้วยปักเหนือของก้อนหินใหญ่ที่ชายหาดของอ่าวนาวิกโยธิน และหลังจากทรงปักธงราชนาวิกโยธินแล้ว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาจารึก ต่อมาในปีเดียวกัน ได้พระราชทานหางเสือเรือพระที่นั่งเวคา ที่ทรงแล่นใบข้ามอ่าวไทย เพื่อเป็นรางวัลนิรันดร แก่ผู้ชนะเลิศในการแข่งขันเรือใบข้ามอ่าวไทยประจำปี ของสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จนถึงปัจจุบัน
กีฬาอีกชนิดหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก นั้นก็คือ “แบดมินตัน” เมื่อครั้งที่พระราชภารกิจยังไม่มากมาย พระองค์ทรงนิยมเล่นหลายประเภท ทั้งประเภทคู่ และประเภทสามคน ถึงขั้นที่พระองค์โปรดให้มีการปรับแต่งหอประชุมภายในศาลาผกาภิรมย์ สวนจิตรลดา เปลี่ยนให้เป็นสนามแบดมินตันมาตรฐาน เพื่อทรงแบดมินตันในตอนเย็นวันศุกร์และเช้าวันอาทิตย์ ในช่วงเวลานั้น กีฬาแบดมินตันของประเทศ ไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์ทรงมีรับสั่งกับผู้ใกล้ชิดว่า กีฬาแบดมินตันเป็นกีฬาหนึ่งในไม่กี่ประเภทที่คนไทยสามารถที่จะไต่เต้าไปสู่ระดับโลกได้ เพราะไม่เสียเปรียบ ทางด้านรูปร่าง และพละกำลังมากจนเกินไป มีรับสั่งถึงประเด็นนี้หลายครั้งและต่อมา ได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ให้กับสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2493
นอกจากทรงแบดมินตันเป็นการส่วนพระองค์แล้ว ยังทรงสนพระทัยในการกีฬาแบดมินตันเป็นอันมาก ทรงสามารถวิเคราะห์ถึงการเล่น และรับสั่ง วิจารณ์ถึงวิธีการเล่นของนักแบดมินตันระดับโลกแต่ละคนได้เป็นอย่างดี และทรงนำมาปรับปรุงเพื่อพัฒนาฝีมือ เทคนิคการเล่นของพระองค์เอง กับทั้งทรงชี้แนะ พระราชทานข้อแก้ไขเทคนิคการเล่นแก่นักกีฬาของไทยด้วยพระเมตตา ก่อเกิดการพัฒนาอย่างใหญ่หลวง แก่กีฬาแบดมินตันในประเทศไทย จนเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในเวทีแบดมินตันโลกได้ในทุกวันนี้
ดังในเรื่องพระจริยวัตรในกีฬาแบดมินตัน ในหนังสือของ ศาสตราจารย์ เจริญ วรรธนะสิน อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย ตอนหนึ่งความว่า “..การแข่งขันในวันนั้นเป็นการแข่งขันหน้าพระที่นั่งและเป็นการแข่งขันที่คนดูมากที่สุด เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งภายหลังจากการแข่งขันว่าเป็นการแข่งขันที่สนุก ทั้งตันโจฮอค และข้าพเจ้า แข่งขันกันอย่างนักกีฬา มียิ้มหัวกันตลอดเวลาร่วมชั่วโมงที่ขับเคี่ยวกัน..”
ไม่เพียงแต่จะทรงกีฬาหลายชนิดด้วยพระองค์เอง ยังทรงเอาพระทัยใส่ติดตามข่าวกีฬาทุกประเภทอยู่เสมอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานทอดพระเนตรการชกของนักมวยไทยกับนักมวยต่างชาติหลายต่อหลายครั้ง เช่น การชกระหว่าง โผน กิ่งเพชร กับ ปาสคาล เปเรซ นักมวยชาวอาร์เจนตินา เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503 ณ สนามมวยเวทีลุมพินี หรือการชกระหว่าง ชาติชาย เชี่ยวน้อย กับ แอฟเฟรน ทอร์เรส นักมวยชาวเม็กซิกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2513 ณ สนามกีฬากิตติขจร (ปัจจุบันคือ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก) ซึ่งหลังจากการชกทุกครั้ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นักมวยเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และมีพระราชปฏิสันธานอย่างเป็นกันเองและห่วงใย และจะพระราชทานเข็มขัดแชมป์โลกให้ด้วย
และแม้กระทั้งเมื่อครั้งที่ แสน ส.เพลินจิต เดินทางไปป้องกันตำแหน่งแชมป์โลก ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น กับฮิโรกิ อิโอกะ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2538 หลังการชกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงส่งพระราชสาสน์ผ่านทางกงสุลไทย ณ เมืองโอซากา ความว่า พระองค์ทอดพระเนตรการชกของแสนอยู่ผ่านทางโทรทัศน์ ทรงชมว่าแสนชกได้ดี ยังความปลาบปลื้มแก่แสนและคณะเป็นอย่างยิ่ง หรือเมื่อครั้งกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 26 ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2539 ก่อนชกในรอบชิงชนะเลิศ สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยสากลสมัครเล่นรุ่นเฟเธอร์เวท ให้สัมภาษณ์ว่า จะคว้าชัยชนะให้ได้ เพื่อนำเหรียญทองกลับไปร่วมสมโภชน์เป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ครบ 50 ปีด้วย และเมื่อสมรักษ์สามารถเอาชนะได้ ได้ครองเหรียญทองโอลิมปิกเป็นครั้งแรกของนักกีฬาไทย สมรักษ์ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าถวายเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญนี้แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้วย
พระปรีชาสามารถด้านการกีฬาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรชาวไทยเท่านั้น องค์กรกีฬาต่างประเทศก็รับรู้ถึงพระปรีชาสามารถด้านการกีฬาของพระองค์เช่นกัน หลายองค์กรในต่างประเทศได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติยศด้านการกีฬามากมาย อาทิ เหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิก “อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด (ทอง)” ในฐานะที่ทรงเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงและทรงสนับสนุนกีฬาจนเป็นที่ปรากฏชัดและนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญโอลิมปิกชั้นสูงสุด, อิสริยาภรณ์สูงสุดทางการกีฬาของสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย ในฐานะที่ทรงเป็นนักกีฬายอดเยี่ยม และทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมการกีฬาของเอเชียและของโลกอย่างต่อเนื่อง, ถ้วยลาลาอูนิส เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณด้านการกีฬาและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อวงการกีฬาของไทยและระหว่างประเทศ, เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณ “โกลเด้น ชายนิง ซิมโบลออฟ เวิลด์ ลีดเดอร์ชิพ” ในฐานะที่ทรงสนับสนุนการกีฬาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬามวย เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่วงการกีฬาของชาติอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือจากการเอาพระทัยใส่ และทรงอุปถัมภ์การกีฬาหลาย ประเภทแล้ว ยังปรากฏพระราชกรณียกิจหลายประการอันเป็นคุณประโยชน์ และเป็นสิริมงคลอันสูงยิ่งแก่วงการกีฬา และนักกีฬาชาวไทยนานัปการ ทั้งพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่นักกีฬา และผู้บำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อการกีฬา, พระราชทานทุนแก่นักกีฬาจากกองทุนโดยเสด็จพระราชกุศลต่างๆ, พระราชทานไฟพระฤกษ์ ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาครั้งสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ หรือภายในประเทศ, พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ และพระราชทาน พระบรมราโชวาท พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นักกีฬา และบุคลากรในวงการกีฬา เข้าเฝ้าฯอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนพระองค์อยู่เสมอ นับเป็นการสร้าง ขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬา และผู้เกี่ยวข้องในวงการกีฬาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังพระราชทานพระบรมราโชวาทอันทรงคุณประโยน์ที่นักกีฬาต่างรับใส่เกล้าฯ และยึดถือปฏิบัติเสมอมา
“..การกีฬานั้น นอกจากจะให้ความสนุกสนานและความสมบูรณ์แก่ร่างกายแล้ว ยังให้ผลดีทางจิตใจได้อย่างมากมาย นักกีฬาที่ได้รับการฝึกหัดอบรมอย่างดีแล้ว ย่อมมีใจแน่วแน่ตัดสินใจได้รวดเร็ว มีความเพียรพยายามไม่ท้อถอย และมีความหนักแน่น รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักให้อภัย ผู้มีใจเป็นนักกีฬา จึงเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อสังคมและน่าคบหาสมาคมด้วยอย่างยิ่ง..”
(พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดการแข่งขันกรีฑาประจำปี 2507 ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ กรมพลศึกษา วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507)