ศรัทธาสร้างพลัง (1)
ศรัทธาสร้างพลัง 1
ปฏิบัติสมาธิไปเถิด จะเกิดผล
ปฏิบัติตนไปเถิด ประเสริฐศรี
ปฏิบัติตนไปเถิด เกิดบารมี
ปฏิบัติดีไปเถิด เกิดเป็นคน
ทุกอย่างเป็น “ปัจจัตตัง” ปฏิบัติเองย่อมรู้เอง ตามคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลอยู่ในตัวของมันเอง เรื่องราวบางอย่างเป็นความลับฟ้า พูดไม่ได้บอกไม่ได้ แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นเหลือเกินว่า สิ่งที่ผู้เขียนจะเขียนบอกต่อไปนี้ มิได้อุตริหรืออวดอ้างแต่ประการใด แต่ผู้เขียนเขียนขึ้นเพื่อเป็นธรรมทานด้วยใจอันบริสุทธิ์
ด้วยผู้เขียนมีความรัก ความศรัทธาต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5)ไว้เหนือเศียรเกล้าและเชื่อมั่นว่าความศรัทธาทำให้เกิดพลัง เมื่อมีเหตุอันใด ผู้เขียนจะท่องคำบูชาสั้นๆ
ปัจจะมัสสะ มหาราชัสสะ ปิยมเหสี ปติพพะตาสุนันทาระตะนะกุมารี กาละกะตา ทิวังคะตา มังคะลาวันทเนมัสสา โสตถิ เมโหตุสัพพะทา
(สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารัรัตน์ พระองค์ผู้เป็นพระปิยมเหสี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้มีสัจจะต่อพระราชสวามี ผู้ทำกาละไปแล้วไปสู่สวรรค์ ด้วยอำนาจการสักการะต่อพระนางพระองค์นั้นอันเป็นมงคล ขอความสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ)
ผู้เขียน ลืมตามาดูโลกใบนี้ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2499 และเมื่อ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นวันคล้ายวันเกิดของผู้เขียน สามี (ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ผู้ตรวจราชการ (โฆษก) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ได้มอบของขวัญวันเกิดให้กับผู้เขียน ของขวัญนั้นคือ องค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่สามีได้จากคุณพ่อวินัย ช้วนกุล ซึ่งเป็นบิดาของผู้เขียนเองในวันแต่งงาน 4 มกราคม 2530 โดยคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ได้รับองค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จากหลวงพ่อวัดระฆังเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา สามีนำมามอบให้ผู้เขียนต่อ เนื่องจากสามีได้รับ องค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อีกองค์หนึ่งจากครูบาอาจารย์ที่เคยสอนสามีสมัยเรียนอยู่วิทยาลัยพลศึกษาชลบุรี และอธิบายถึง พุทธคุณ ขององค์ท่าน ผู้เขียนเกิดพลังแห่งความศรัทธาและสวมใส่นอนในวันเกิดคืนนั้น…เวลาประมาณ ตี 3-4 ของเช้าวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 ผู้เขียนฝันว่า… สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หรือผู้เขียนเรียกสั้นๆว่า หลวงปู่โต เดินนำหน้าผู้เขียน ผู้เขียนเดินตามเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในถ้ำมีแสงสว่างไสว แล้วบอกให้ผู้เขียนก้มลงกราบ ซึ่งผู้เขียนมองเห็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกบัวหลวงสีชมพูลอยอยู่เต็มอ่างอันกว้างใหญ่ ในจิตคิดว่าเป็นอ่างน้ำมนต์ ผู้เขียนทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่ก้มลงกราบ ผู้เขียนได้ยินเสียงดังกังวานน่าเกรงขามจากชายชรา “อย่าว่าสามีในใจ” ในฝันผู้เขียนตกใจมากและก้มมองดูตัวเองซึ่งอยู่ในชุดชีพราหมณ์สีขาว แต่เปียกน้ำทั้งตัวแล้วผู้เขียนก็สะดุ้งตื่นเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนเองไม่เข้าใจปริศนาธรรมเลยแม้แต่น้อย
เมื่อครั้งนั้นผู้เขียนยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติธรรม วันหนึ่งได้มีโอกาสไปวัดฟังธรรม และมีโอกาสเล่าความฝันที่ไม่เคยลืมให้กับหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเขาอิติสุคโต หัวหิน ท่านชี้แนะให้ผู้เขียนไปบวชชีพราหมณ์ และให้ขอขมาสามีเพื่อจะได้ไม่ติดกรรมต่อกัน ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียนเองที่ผ่านมาไม่ชอบโต้แย้ง แต่กลับคิดว่าสามีในใจ เมื่อสิ่งนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้เขียนเอง เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เวลาประชุมก็จะบอกลูกน้องว่าอย่าไปโต้แย้งเถียงกับลูกค้า แต่ให้ว่าในใจ ซึ่งเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมภายหลังจึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่า มันคือ มโนกรรม
หลังจากกลับจากวัด พอถึงวันพ่อที่ 5 ธันวาคม ผู้เขียนก็นำพวงมาลัยดอกมะลิขออโหสิกรรมต่อสามี นำความแปลกใจให้กับสามีเป็นอันมาก เพราะสามีไม่เคยทราบเลยว่าเราว่าเขาในใจ
กรรม ก็คือ การกระทำนั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย 3 อย่าง เจตนาดี เจตนาชั่ว เจตนากลางๆ
– กรรมเก่า(ในอดีต) คือกรรมที่ทำไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ แต่เราควรรู้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เหมือนเติมน้ำลงไปในแก้วให้เต็มตลอดเวลา
– กรรมใหม่ (ปัจจุบัน) คือกรรมที่กำลังจะทำ จะต้องทำให้ดีที่สุดซึ่งขณะที่ต่อไปจะกลายเป็นกรรมเก่า ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นสิ่งปฏิบัติได้ ทำได้เหมือนการเติมน้ำลงบนแก้ว เติมบุญเติมกุศลด้วยการปฏิบัติในปัจจุบัน
– กรรมข้างหน้า (ในอนาคต) คือกรรมที่ยังไม่ได้ทำ แต่เราสามารถเตรียมหรือวางแผนที่จะทำให้ดีที่สุดเหมือนเติมน้ำจนเต็ม
บาป นั้นคู่ กรรม-คู่ทุกข์ ส่วนบุญนั้นเป็นคู่มิตร-คู่สุขของเรา พระพุทธเจ้าทรงเน้น กรรม อยู่เสมอดังคำสอนที่ว่า 1. ไม่กระทำชั่ว 2. กระทำดี 3. กระทำจิตให้บริสุทธิ์
กรรมดีนั้นทำยากแต่ควรทำเพราะจะเกิดผลดีแก่ตนและผู้อื่น กรรมชั่วนั้นทำง่าย ไม่ควรทำ เพราะจะเกิดผลเสียแก่ตนและผู้อื่น การกระทำความดีต้องฝืนใจเพราะธรรมชาติเรามักตามใจตัวเอง
ปล่อยให้ไหลลงสู่ที่ต่ำลงสู่กระแสกิเลส ตัณหา และอุปทาน
“ใครทำกรรมอะไรไว้ ถึงคนอื่นไม่รู้ ตัวเราเองนั้นแหละรู้”
“กรรมดี กรรมชั่ว จะคอยติดตามบุคคลนั้นเหมือนเงาตามตัว”
กรรมเป็นสิ่งที่ตนทำ ดังนั้น กรรมดีก็เป็นการช่วยตัวเอง
กรรมชั่วก็เป็นการลงโทษตัวเอง
กรรมดี เราจะต้องทำของเราเอง ไม่ใช่ได้ดีด้วยการขอจากใครๆ และจะให้ผู้อื่นมาทำให้ไม่ได้ คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำกรรมใดก็ได้รับผลกรรมนั้น กรรมเป็นการกระทำของตัวเอง เราเป็นผู้กระทำ และเป็นผู้รับผลกระทำนั้น เราเป็นผู้กำหนด กฎแห่งกรรม เป็น กรรมลิขิต ไม่ใช่ พรหมลิขิต ชีวิตมนุษย์เราสามารถพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยการกระทำของเราว่าเรามีเจตนาอย่างไร เจตนาดีก็คือกรรมดี เจตนาชั่วก็คือกรรมชั่ว เจตนากลางไม่ดีไม่ชั่วก็ได้รับกรรมกลาง
มโนกรรม คือ การกระทำทางใจทางความคิด เมื่อคิดดีก็ได้ดี เมื่อคิดไม่ดีก็ไม่ดีตามมา มโนกรรม จึงจำเป็นต้องฝึกฝน และรักษาดูแลให้ดี เพราะมโนกรรมบานปลายเป็นวจีกรรม เป็นกายกรรม วิบากก็จะให้ผลแรงตามไปด้วย กรรมที่จะแสดงออกมาทางกาย ทางวาจาใดๆก็ตาม ต้องเริ่มต้นจากความคิดในใจก่อนทั้งสิ้น
วจีกรรม คือการกระทำทางคำพูด เช่น พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พูดหยาบ วจีกรรมเป็นคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังแล้วเกิดความสะเทือนใจ เป็นวจีกรรมทั้งสิ้น
กายกรรม คือ การกระทำที่แสดงออกเห็นเด่นชัด เช่นการขโมยของ การฆ่าสัตว์ ผิดในกาม ฯลฯ ในแง่ธรรม การแก้กรรม กรรมเก่าที่ทำไปแล้วไม่อาจแก้ไขได้ แต่สามารถ ลดกรรม ตัดกรรมเพื่อให้หมดกรรมในทางปฏิบัติ (ศีล สมาธิ ปัญญา) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กรรมใหม่ และกรรมอนาคตดียิ่งๆขึ้นไป อย่าหวังให้ผู้อื่น “แก้กรรม” ให้เราได้เพราะกรรมทำแทนกันไม่ได้ ดีชั่วขึ้นอยู่กับตัวเรา เหตุและผลแห่งกรรมอยู่ที่ตัวเรา เหตุแห่งทุกข์ก็อยู่ที่กรรมของเรา “กรรม” “เวลา” เป็นเครื่องกำหนดชีวิต เหมือนดังพุทธสุภาษิตว่า
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้หยาบและประณีตได้”
การปลงว่า แล้วแต่กรรม เท่ากับยอมรับสภาพอย่างนั้นไม่คิดจะพัฒนาให้ชีวิตดีงามขึ้นด้วยการสร้างกรรมใหม่ให้ได้ดี ตกอยู่ในความประมาทปล่อยตามยถากรรม ไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมายกลายเป็นกรรมใหม่ ซึ่งเป็นผลร้ายแก่ตนต่อไป
หลวงปู่โต กล่าวไว้ว่า “ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว…เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว…แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า…หมั่นสร้างบารมีไว้…แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง…จงจำไว้นะ… เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้… ครั้นเมื่อถึงเวลา… ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่…จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”
มณีจันทร์ฉาย