Interview

นพ.สรร สุนทรธนากุล

นพ.สรร สุนทรธนากุล
นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัย
นายกสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ.หนองคาย
“ตรงไปตรงมา คิดบวก ให้อภัย”

เด็กอุดรฯ : ผมเกิดในครอบครัวชั้นกลาง ที่ จ.อุดร คุณพ่อทำธุรกิจรถสองแถว คุณแม่ค้าขายในชุมชน หน้าที่ผมมีอยู่สามอย่าง คือ 1. เรียนหนังสือ 2. เล่นกีฬา ออกกำลังกาย และ 3. ช่วยพ่อแม่ทำงาน ผมเป็นลูกคนโต มีน้องชายอีกคน ผมเรียนจบจาก รร.อุดรพิทยานุกูล แล้วเรียนต่อแพทย์ที่ขอนแก่น และมารับราชการที่หนองคาย

นักสู้ : คุณพ่อบอกว่า ‘ลูกคนนี้ เป็นนักสู้’ จะทำอะไร ต้องทำให้สำเร็จ จะเอาอะไร ต้องเอาให้ได้ มีหัวจิตหัวใจเป็นนักสู้ ชอบเอาชนะ ชนะตัวเอง ชนะคู่แข่ง แต่ไม่ออกนอกกรอบ นี่คือนิสัยส่วนตัวผม, เรียนหนังสือ ก็ต้องเป็นที่หนึ่ง เป็นผู้นำ เล่นกีฬา ต้องฝึกให้ชนะเพื่อนในกลุ่ม เมื่อก่อนเล่นฟุตบอล ก็ต้องซ้อมหนัก ทำให้เรามีทักษะเพิ่มพูนขึ้น

เรียนแพทย์ : ผมได้แต่ทำงานช่วยพ่อแม่ เวลาว่างก็เล่นกีฬา แล้วก็เรียนหนังสือ ถ้าถามว่าชีวิตอยากเป็นอะไร จำได้แค่ว่า ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นแพทย์หรืออะไรเลย แต่เมื่อผลการเรียนมันถึงเกณฑ์สอบได้ ก็ต้องสอบตามหน้าที่ โชคดีที่มีผลการเรียนดี สอบได้ 4.00 ที่หนึ่งของรุ่น อยู่ในกลุ่มท้อปของโรงเรียน ตอนสอบก็เข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ดังนั้นความเป็นแพทย์ เกิดจากผลการเรียน ไม่ได้เกิดจากการวางแผน แต่เมื่อทำอะไรแล้ว ผมต้องทำให้ได้ดี

กีฬา : ด้วยภาระเยอะ ทำให้ผมไม่มีโอกาสดื้อ นอกเหนือจากการเรียนและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว ผมเล่นกีฬา ทำให้ผมตัวใหญ่ตั้งแต่เด็ก การฝึกฝนทำให้ร่างกายแข็งแรง มีกล้ามเนื้อ, ฟุตบอล ได้เล่นอยู่ในทีมโรงเรียน จะได้เป็นตัวแทนไปเล่นโค้กคัพ แต่ไม่อาจจะไปซ้อมกับทีมได้ เพราะต้องอ่านหนังสือหนักมาก ทำให้ไม่มีเวลาไปซ้อม และพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้อยู่ในทีมมหาลัย จนถึงปัจจุบัน ก็ยังเล่นฟุตบอลอยู่เป็นประจำ วิ่งจนครบเวลาได้ เพราะการฝึกกีฬาหนักตั้งแต่เด็ก ทำให้มีบุคลิกของการเป็นผู้นำ อดทน รับผิดชอบ และยังทำให้กล้ามเนื้อคงตัวอยู่ได้ สามารถนำมาใช้กับงานกับชีวิตด้านอื่น ๆ ทำให้มีความอดทน สู้กับความเหนื่อยล้าได้ และส่งผลไปยังการเล่นกีฬาทุกประเภท โดยเฉพาะ กอล์ฟ ที่ผมมาเริ่มเล่นในภายหลัง

กอล์ฟ : สมัยก่อนเคยมองว่ากอล์ฟยังไม่เหมาะกับเรา ใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ไม่เหมือนกับฟุตบอล ที่เล่นอยู่เป็นประจำ จึงคิดว่ายังไม่ถึงเวลาสำหรับกอล์ฟ จึงไม่มีความใส่ใจ มาเริ่มรู้จักกอล์ฟจริง ๆ หลังจากรับราชการแล้ว ราวปี 2538 เพราะขับรถไปเล่นฟุตบอล แล้วผ่านบ้านเพื่อน เห็นซ้อมกอล์ฟกันอยู่ เขาก็ชวนให้แวะ แต่ก็ยังไม่แวะซะที บอกเขาว่าเรายังไม่มีเวลาพอ แค่เล่นฟุตบอลชั่วโมงเดียว ยังต้องรีบกลับไปทำงานเลย, ผ่านไปอีกสักอาทิตย์ ตัดสินใจลองแวะดู เขาก็ให้เริ่มหัด จับไม้ครั้งแรกด้วยมือขวา ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมถนัดซ้าย ทำทุกอย่างข้างซ้ายหมด ยกเว้นเขียนหนังสือ เพราะถูกคุณพ่อหัดไว้อย่างเข้มงวดจนเขียนด้วยมือขวาได้ พอจับไม้ได้แล้วหวดเลย ผมตีแรงมาก ซ้อมไปจนหมดถาด ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไร จนเมื่อกลับบ้านอาบน้ำแล้วไปเปิดคลินิก ไม่น่าเชื่อว่า กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง จนจับปากกาเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องให้พยาบาลมาเขียนแทน จากนั้นก็เริ่มคิดว่า กีฬานี้ ท้าทายจริง ๆ

สามวันลุย : ซ้อมกันได้สามวัน ก็พากันออกรอบที่สนามวิคตอรี่นี่แหล่ะ ตั้งแต่ยังสร้างได้แค่เก้าหลุม เข้าสนามกอล์ฟครั้งแรกในชีวิตก็ออกรอบเลย เพื่อนร่วมก๊วน ต่างพากันไปซุ่มซ้อม เพื่อจะมาเอาชนะเพื่อน แล้วนิสัยผมชอบเอาชนะ ตามวิสัยนักกีฬา รู้สึกว่าแบบนี้ท้าทายดี พอดีที่บ้านพอมีพื้นที่ ก็ไปสร้างสนามซ้อมส่วนตัว จากเดิมที่ไปเล่นฟุตบอลตอนเย็น ก็หันมาซ้อมกอล์ฟที่บ้าน หัดเองจนเริ่มเล่นได้ ถือแต้มต่อประมาณ 18

ย้ายขวา มาซ้าย : จนเมื่อมาเจอรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจ เขาชอบสไตล์การเล่นกอล์ฟแบบลุย ๆ ของผม ก็มาทักว่า ‘ถนัดซ้าย ต้องตีซ้าย’ จะใช้ความสามารถตัวเองได้ดีมากกว่านี้ ซึ่งตรงกับใจผมอยู่แล้ว ก็เลยให้รุ่นพี่นั่งเครื่องมาธนิยะ จัดหาอุปกรณ์กอล์ฟมือซ้ายให้ แล้วเขาก็ยังช่วยซ้อมให้ด้วย เปลี่ยนจากขวาเป็นซ้ายตั้งแต่บัดนั้น อาศัยว่า เราเป็นสตาร์ทอัพ ยังเล่นกอล์ฟมาไม่นาน ใช้เวลาปรับตัวราวเดือนนึง ก็เริ่มเล่นมือซ้ายได้ แล้วฝึกหนักขึ้น ทั้งที่บ้าน สนามไดร์ฟ ออกรอบราวสองสามครั้งต่อสัปดาห์ เริ่มเอาชนะเพื่อนในกลุ่มได้ มีความสุขกับการเล่นกอล์ฟ แล้วก็เล่นมาตลอด

เทิร์นโปร : ผมฝึกกอล์ฟมาพักใหญ่ จนเพื่อน ๆ ที่เล่นมาด้วยกันเทิร์นโปรไปบ้างแล้ว ผมเองก็คิดที่จะเทิร์นโปร สมัครไปแล้วด้วย โอกาสที่จะผ่านก็คิดว่าทำได้ไม่ยาก ขณะที่กำลังจะไปสอบ มีผู้ใหญ่ท่านนึง ได้มาถามว่า ‘จะไปเทิร์นโปรเพื่ออะไร?’ เราเป็นนักธุรกิจ เป็นหมอ มีงานมากมายอยู่แล้ว, และเมื่อผ่านเป็นโปรแล้ว จะไปเล่นกับใคร ใครจะเล่นด้วย ก๊วนที่เล่นด้วยกันประจำจะหายหมด ข้อจำกัดต่าง ๆ ก็เยอะ จะไปเล่นสนุกที่ไหนก็ไม่ได้เต็มที่ แล้วเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปแข่ง ไปสอน หรือจะมีอาชีพทางโปรกอล์ฟอยู่แล้ว เพราะในที่สุด สิ่งที่ผมต้องการก็แค่ ‘พิสูจน์ตัวเอง’ ว่าสามารถทำได้ อยากสู้กับตัวเอง จุดสูงสุดของการเล่นกอล์ฟคือการสอบโปรผ่าน แค่นั้นเอง และเมื่อมาทบทวนดูแล้ว ทุกเรื่องที่ท่านทักมา ก็จริงทุกข้อ ทำให้ผมตัดสินใจไม่ไปเทิร์น ขอรักษาสถานภาพนักกอล์ฟสมัครเล่น เพื่อร่วมสนุกกับเพื่อนตลอดไปดีกว่า

จำต้องห่าง : มีช่วงนึงผมหยุดเล่นกอล์ฟไปถึง 7 – 8 ปี เพราะเปลี่ยนงาน ขยายธุรกิจ ลาออกจากราชการ มาเปิดโรงพยาบาลพิสัยเวช เป็นโรงพยาบาลเอกชน ขนาดใหญ่ ลงทุนไปเยอะมาก แล้วยังเปิดโรงเรียนเอกชนอีก ต้องคุมเองทั้งหมด ไปไหนไม่ได้เลย ประกอบกับกำลังสร้างครอบครัว มีลูกเล็ก ๆ ทำให้ไม่มีเวลาว่างมากนัก ไม่ได้จับกอล์ฟเลยแม้แต่วันเดียว ต้องหันไปออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น วิ่งบ้าง เล่นฟุตบอลบ้าง จนเมื่อธุรกิจเริ่มอยู่ตัว ผมก็กลับมาเล่นกอล์ฟอีกครั้ง ต่อเนื่องกับเพื่อน ๆ ก๊วนเดิม ที่เคยมีฝีมือใกล้เคียงกัน แต่คราวนี้เล่นแบบสบาย ๆ ปีแรก แพ้เพื่อนเกือบทุกวัน แต่มีความสุขนะ พอมีเชิงอยู่บ้าง มีพาร์ มีเบอร์ดี้ แต่เวลาหลุดก็เยอะไปเลย แล้วก็ค่อย ๆ ตีตื้นขึ้นมาเรื่อย ๆ อาศัยได้เล่นยามว่าง วันหยุด หรือเลิกงานมีเวลานิดหน่อยก็เล่นเก้าหลุม จนปัจจุบันนี้ก็กลับมาเล่นได้ราวยี่สิบปีแล้ว

คนมีความฝัน : จะตั้งจุดหมายของตัวเองโดยตลอด เป็นเรื่อง ๆ เป็นห้วง ๆ ไป ช่วงเป็นนักเรียนแพทย์ ผมมีจุดหมาย มีกิจกรรม สมัยเรียนมัธยม เคยตั้งเป้าต้องเป็นที่หนึ่ง ผมก็ทำตามเป้าหมายนั้น, พอเข้าเรียนแพทย์ เพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน ต่างคนต่างเก่งมาทั้งนั้น ผมมองว่า มหาวิทยาลัย เป็นเรื่องของการ ‘ใช้ชีวิต’ ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งแล้ว เพราะการเรียนแพทย์ หนักกว่าเรียนมัธยมมาก ถ้าจะเป็นที่หนึ่งของรุ่น ต้องเรียนแบบสุด ๆ เรียนแบบเอาเป็นเอาตาย แต่นั่น มันเสียเวลาในการใช้ชีวิต ผมจึงผ่อนเรื่องการเรียนลงบ้าง แต่ยังรักษาระดับให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจไว้ ไม่เคยสอบตก เพราะต้องการทำกิจกรรมหลากหลาย เป็นประธานเชียร์ของคณะแพทย์ เป็นประธานกีฬา เราได้ก่อตั้งกีฬานิสิต นักศึกษา แพทย์ แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ตอนนั้นมีอยู่ 8 สถาบัน ก็เรียกว่า ‘กีฬา 8 เข็ม’ ซึ่งวิศวะก็มีกีฬา 13 เกียร์, รุ่นผมยังได้ร่วมกันสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น จัดวิ่งการกุศล เฉลิมพระเกียรติฯ มีทิศทางวิ่งทั้งสามสาย เริ่มจากหนองคาย, อุบล และ กรุงเทพฯ เพื่อหารายได้ สร้างเรือนพักญาติผู้ป่วย รพ.ศรีนครินทร์ ได้ใช้งานจนถึงปัจจุบัน

กิจกรรมนำชีวิต : ผมชอบการทำงาน ทำกิจกรรม สโมสรฯ ในมหาวิทยาลัย ทำให้สิ่งเหล่านี้ติดตัวเรามาตั้งแต่เรียน พอมาทำงาน รับราชการ ผมก็มีเป้าหมาย ด้วยความที่ผลการเรียนค่อนข้างดี อาจารย์ก็อยากให้ผมกลับไปเรียน เพื่อไปเป็นอาจารย์แพทย์ฝ่ายศัลยกรรม แต่พอได้ลงพื้นที่ งานก็เปลี่ยนไป มีความภารกิจที่ท้าทาย ความคิดต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมสายวิชาการ ก็หันมามองเรื่องการบริหารโรงพยาบาล

ตัดสินใจครั้งใหญ่ : พอถึงจุดนึง ทั้งประสบการณ์และงาน ทำให้ผมคิดว่า กรอบการทำงานในระบบราชการ มีข้อจำกัดเยอะ ยิ่งเป็นแพทย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีข้อกำหนดมากกว่าอีก แคบไปสำหรับผม ขณะที่ความคิดของเราไปไกลกว่านั้นมาก, กอล์ฟ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมได้เปลี่ยนชีวิต ทำให้ชีวิตกว้างขึ้น รู้จักเพื่อน รู้จักผู้ใหญ่ ได้คำแนะนำดี ๆ ทำให้รู้จักกล้าที่จะเปิดโลกทัศน์ ชีวิตข้างนอก มีอะไรท้าทายรออยู่อีกเยอะ ผมมีความเป็นนักธุรกิจเหมือนคุณพ่อ จะคิดเรื่องการค้า เรื่องธุรกิจ โอกาสในการพัฒนา ถ้าทำตามระบบอาจจะก้าวหน้าไปตามปกติ มั่นคง มีเกียรติ, แต่เชื่อว่าถ้าอยู่นอกระบบ เรามีโอกาสทำอะไรได้มากกว่านี้ ทั้งการบริหาร ธุรกิจ การเมือง สังคม

เป็นนายตัวเอง : โดยธรรมชาติ ผมชอบทำอะไรที่เป็นผู้นำ สนใจงานด้านการเมือง สังคม เลยตัดสินใจลาออกจากราชการ หลังจากครบกำหนดสัญญา อยากเป็นตัวของตัวเอง ผมเริ่มเปิดโรงพยาบาลขนาด 10 เตียง ต่อเนื่องจากที่เคยได้เปิดคลินิก บังเอิญว่า ก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการฯ ไปเรียนต่อ ท่านคงเชื่อมั่นในตัวผม ยินดียกคลินิกให้ไปดูแลต่อ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำคลินิกเลย ก็เชื่อว่า นี่คือโชคชะตาของผม เพราะถ้าไม่มีจังหวะนี้ขึ้นมาในชีวิต ผมก็คงกลับไปเรียนเพื่อเป็นอาจารย์แล้วก็ได้ งานประจำที่โรงพยาบาลหนักมาก มีหมออยู่แค่สองคน ดูแลคนไข้หลายร้อย น้ำหนักลดเป็นสิบกิโล พอตอนเย็น หลังเลิกงาน ก็ต้องไปดูคลินิกอีก กีฬาก็ต้องเล่นเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ผมก็ลุยงานหนักอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ตอนจะลาออก ผู้ว่าฯ ไม่อนุมัติ ผมก็ต้องรอไปอีกพักใหญ่ จนท่านเข้าใจก็อนุญาต

ทำในสิ่งที่อยากทำ : ผมออกมาก็ทำตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ตัวเองได้มีอะไรในสังคม คิดว่าเมืองนี้น่าอยู่ น่าลงทุน มีโอกาสเจริญเติบโต ผมเองก็มีพื้นฐานสังคมพอสมควร ถ้าปักหลักในเมืองนี้ มีโอกาสโตได้หลายทาง ทั้งธุรกิจ สังคม ซึ่งผมก็คิดไม่ผิด ได้ลงไปให้ความช่วยเหลือผู้คน สังคม สร้างเพื่อนทุกวงการ โดยเฉพาะกีฬา เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล ส่งแข่งกีฬาแห่งชาติ มีอะไรช่วยหมด และยังเป็นนักฟุตบอลให้กับทีมจังหวัดด้วย มีการจัดฟุตบอลปราบฮ่อครั้งที่ 1 ชิงถ้วยรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยนั้น ผมก็ลงเล่นอยู่ในทีมโพนพิสัย ได้แชมป์ครั้งแรกด้วย พอขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ทำให้มีเวลามากขึ้น ได้ทำโน้นทำนี่บ้าง ได้เล่นกอล์ฟ

รพ. พิสัยเวช : เริ่มต้นมีขนาด 10 เตียง เป็นอาคารพาณิชย์ขนาด 4 ห้อง แต่อีกพักก็ขยายเป็นตึกขนาด 7 ชั้น 50 เตียง จนมาถึงปัจจุบัน และมีการปรับปรุงหน่วยบริการต่าง ๆ ให้ครบครันมากขึ้นทุกสาขาให้ ถือว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่มีคนไข้เยอะที่สุดในหนองคาย เราเข้าร่วมในโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคด้วย

โพนพิสัย : จุดขายที่เด่นสุด ไม่มีใครเหมือน นั่นคือ บั้งไฟพญานาค โพนพิสัย เป็นเมืองทางผ่าน ถึงไม่มีแหล่งธรรมชาติที่ชัดเจน แต่เรามีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ จึงได้จัดทำเป็นแหล่งเส้นทางท่องเที่ยว ‘เส้นทางนาคี’ เป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เริ่มตั้งแต่ลงเครื่องบินที่อุดร ไปคำชะโนด จากที่นั่นมีถนนสี่เลนมุ่งสู่โพนพิสัย ระยะทาง 53 กม. เรามีถ้ำพญานาค มีจุดชมบั้งไฟพญานาค ไหว้พระ ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชพิพิธภัณฑ์เมืองโพนพิสัย จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค ประวัติความเป็นมาของเมือง ทานข้าวเที่ยงที่นี่ แล้วค่อยเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่สนใจ โพนพิสัย จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางการท่องเที่ยว ที่ต้องมาเริ่มต้นที่นี่ก่อน, อีกทางเลือกคือ ‘เส้นทางโรแมนติก’ คือกลุ่ม 5 จังหวัดที่ติดแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเลย จนถึงบึงกาฬ จะทำเป็นถนนเลียบโขง ให้มีความสวยงาม อาจจะมีรถราง รถไฟ มีเลนจักรยานให้ปั่นกันได้ยาว ๆ มีจุดและพักให้เกิดการค้าขายระหว่างชาวบ้านกับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ อยู่ในแผนของกลุ่มจังหวัดอยู่แล้ว เป็นงานที่ต้องทำร่วมกัน

การบริหาร : ไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรือเอกชน เป้าหมายคือ ทำงานอย่างไรให้องค์กรอยู่รอด มีชื่อเสียง, ทำอย่างไรให้พนักงานของเรามีความสุข และ ลูกค้า หรือประชาชน ที่เข้ามาใช้บริการ หรือขอความช่วยเหลือ ได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนความซื่อตรง ยุติธรรม และผมก็สู้ไม่ถอย เคยได้รับรางวัล คนไทยตัวอย่าง ผู้บริหารท้องถิ่นดีเด่น, คนดีศรีหนองคาย สองครั้ง, แพทย์ดีเด่น จาก มข. ถึงแม้ไม่ได้รับราชการ แต่ผมก็สามารถทำความดี ทำประโยชน์เพื่อสังคมได้เช่นกัน ก็คิดถูกแล้ว ที่เลือกเส้นทางสายนี้ เราก็ทำได้ดีในสังเวียนของเรา สร้างผลงานระดับประเทศไว้หลายเรื่อง

คุณค่า – ความสุข : ทุกห้วงเวลาของชีวิต ผมใช้หลักประจำใจอยู่สองอย่าง คือ สร้างคุณค่าให้กับชีวิต ทำอะไรให้มีคุณค่า ให้ความภูมิใจ ทำแล้วมีความสุข ได้ประโยชน์ ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคม ผมทำมาตลอดตั้งแต่เรียนหนังสือ เมื่อรับราชการ หรือออกจากระบบมาแล้ว ก็มาทำให้กับสังคม สร้างสิ่งใหม่​ ๆ สร้างเพื่อน สร้างความดี ถึงวันนี้ก็ยังมีความมุ่งหมายที่จะสร้างคุณค่าต่อไป เช่น อยากให้บ้านเมืองที่หนองคายมีความเจริญ ผมมาเริ่มต้นชีวิตที่นี่จนประสบความสำเร็จ ก็อยากจะตอบแทนคุณแผ่นดิน ตราบที่เรายังมีศักยภาพอยู่ และสนับสนุนให้คนอื่นได้มีโอกาสทำหน้าที่ ช่วยกันมายกระดับเมืองให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งตัวผมเองก็ยังหมั่นสร้างคุณค่านี้อยู่ทุกวัน และผมเป็นคนชอบสร้างความสุขให้กับชีวิต ไม่ชอบมีเรื่อง ไม่ชอบมีทุกข์ ทำอะไรไปตามระเบียบ ไม่หาเรื่อง ถูกกติกาไว้ก่อน ผมมองว่า ความดีคือโล่ป้องกันทุกอย่าง ไม่ต้องมีใครมาคอยคุ้มกัน ถือว่าเราไม่มีศัตรู

ดูแลกาย : ถ้ามีสุขภาพที่ดี ทุกอย่างจะตามมา ทั้งเรื่องงาน บุคลิกภาพ สุขภาพผมไม่มีปัญหา สำคัญที่สุดคือ ต้องหมั่นออกกำลังกายทุกวัน ไม่ทำไม่ได้ ถึงไม่มีเวลาก็ทำให้เหงื่อออกที่บ้าน และไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กีฬา ทำให้ผมมีความสุข เพราะนั่นคือ การมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ป่วย และได้มีความสุข สนุกกับฟุตบอลและกอล์ฟ จัดเวลาให้เหมาะสม ไม่มัวแต่ไปมุ่งหาเงินหาทอง จนลืมเรื่องตัวเอง ผมยังมีสุขภาพที่ดี ยังทำงานได้เข้มแข็ง กอล์ฟคือสิ่งที่ตอบโจทย์ ยิ่งอายุมากขึ้น การออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างฟุตบอล เริ่มต้องถอยลง ถ้าไม่ฟิตแล้วไปวิ่ง ยิ่งอันตราย กอล์ฟ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวัน มีเวลาแค่ไหน ก็ใช้แค่นั้น แล้วยังท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเราเคยเล่นได้ดี พออายุมากขึ้น ก็ยังอยากเล่นให้ได้ดี มีความสนุกกันมัน กอล์ฟ เป็นกีฬาที่เหมาะกับผมมากที่สุด

ดูแลใจ : อยู่ที่การฝึกฝน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของร่างกายที่แข็งแรง เกิดจากการ ใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ในการบริหาร ก่อนหน้านี้ เป็นคนอารมณ์ร้อน ใจนักเลง พอโตขึ้น ต้องใช้สติ ในการกำกับอารมณ์ ยิ่งอยู่ในภาวะผู้นำยิ่งต้องมีให้มาก และต้องปล่อยวาง ‘มองโลกในมุมบวก’ คิดกว้าง ๆ รู้จักให้อภัย จะนำให้เรามีความสุข, ผมจะไม่ให้มีเรื่องอะไรค้างคาไว้เลย มีปัญหาก็ต้องไปแก้ให้เรียบร้อย ทำชีวิตให้มีความสุขทุกวัน อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง ผู้อื่น หรือ สังคม ทำอะไรตรงไปตรงมา คิดบวก ให้อภัย เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสุข มองอะไรให้เป็นสิ่งดี ๆ เมื่อทำดีแล้วชีวิตจะไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีปัญหาต้องรีบแก้ไขให้เสร็จ อย่าให้ค้างคาใจนะครับ