Interview

การเรียนรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง – ผศ.ดร.มาเรียม นิลพันธุ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาเรียม นิลพันธุ์
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์

“นอกจากเป็นชื่อของกีฬาที่ได้รับนิยม ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์แล้ว คำว่า GOLF ยังประกอบด้วยตัวอักษรที่มีความสำคัญมาก เริ่มจาก G (Globalization) การทำงานต้องสนใจโลกาภิวัฒน์ ไม่ทำเพียงลำพังโดยไม่สนใจโลกภายนอก, O (Organization) ต้องคิดถึงองค์กรเป็นสำคัญ อย่างทำเพื่อตัวเอง หรือแค่คนใดคนหนึ่ง, L (Learning) ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อย่าหยุดนิ่ง และ F (Fair) มีความยุติธรรม ธรรมาภิบาล โปร่งใส เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แล้วทุกอย่างจะสำเร็จได้ โดยทุกคนจะรับรู้และยอมรับในการทำงานนั้น”

“คำว่ากีฬา Sport ก็ยังมีความหมายสำคัญด้วยเช่นกัน S (Spirit) การทำงานต้องใส่จิตใจเข้าไปพร้อมกับ Service มีจิตใจสาธารณะช่วยเหลือ, P (Participation) ความร่วมมือจากทุกฝ่าย, O (Opportunity) ให้โอกาสให้ทุกคน วิธีการอาจไม่เหมือนกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน, R (Research) การค้นคว้าวิจัยตลอดเวลา เพื่อตอบโจทย์ให้ตรงคำถามได้มากที่สุด และ T (Teamwork) ทุกงานจะสำเร็จได้ก็เพราะความร่วมแรงร่วมใจจากทุกคน ทุกคนมีความเก่ง มีความสามารถ มีความสำคัญ จึงต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมาย”

นั่นคือบทแรกจาก อ.มาเรียม นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ ที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะ กอล์ฟ

“เล่นกีฬาหลากหลายประเภทเลยค่ะ เด็กๆ ก็อาศัยการออกกำลังกายตามวิถีชีวิตชาวสวน ชาวนา แล้วก็กิจกรรมพื้นบ้านต่างๆ พอเรียนมัธยมวัดหนองแขมก็เป็นนักบาสฯ ตอนเรียนปริญญาตรีก็ชอบว่ายน้ำ เล่นเทนนิส และยังได้ขี่จักรยานแบบไบค์ทัวร์ในทุกเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้นักศึกษาจากต่างถิ่นได้ออกไปทัศนศึกษาในพื้นที่รอบๆ พอมาทำงานก็ยังได้เล่นเทนนิสอยู่ แต่เมื่อมีภาระกิจมากขึ้น ถึงเวลาจะน้อยลงแต่ก็ยังได้ขี่จักรยานบ้าง เพราะที่บ้านรักการออกกำลังกายกันทุกคน และที่สำคัญ ในคณะศึกษาศาสตร์ของเราก็ยังมีศูนย์ฟิตเนสที่มีความพร้อมและทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งด้วย เรียกว่าชีวิตนี้ไม่ห่างจากการออกกำลังกายเลย”

เนื้อหาสาระสำคัญของบทสนทนานั้น อ.มาเรียม ได้ให้แง่คิดสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาในมุมมองที่น่าสนใจ

“ชีวิตคนเรานั้นต้องอาศัยประสบการณ์และการต่อสู้ ของบางอย่างไม่ต้องเรียน แต่ก็ต้องมีประสบการณ์จริง เรียนรู้จากชีวิตจริง ถึงจะอยู่รอดได้”

“การศึกษาปัจจุบันมีเครื่องมือในการ ป้อน มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทำให้ผู้เรียนของเรา ไม่ได้แสวงหาความรู้ หรือเรียนรู้จากชีวิตจริง ทุกอย่างมีคนป้อนให้หมด โดยเฉพาะ พ่อแม่ โรงเรียน จน มีปัจจัยทุกอย่างพร้อมเกินไป เด็กมีองค์ความรู้ แต่ถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ตอบเลยว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเด็กสมัยก่อน”

“เด็กสมัยก่อนองค์ความรู้ไม่แน่ใจว่าจะแข่งกับคนอื่นทั้งประเทศ ทั้งโลก หรือมีความเป็นอินเตอร์ เพียงพอหรือไม่ แต่ทุกคนมีประสบการณ์ สามารถต่อสู้อยู่ในสังคมได้ การดิ้นรนขวนขวายแตกต่างกันมาก พ่อแม่ไปทำงาน ลูกๆ ไปโรงเรียน กลับมาก็ต้องช่วยทำงานบ้าน ทำนา ทำสวน”

อ.มาเรียม กล่าวถึงวิถีชีวิตของลูกชาวไร่ชาวสวนให้เห็นภาพได้ชัดเจนก็เพราะท่านเป็นลูกชาวสวนขนานแท้ ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ก่อนจะไปก็ต้องแวะไปรดน้ำส้มโอก่อน เสาร์อาทิตย์ ต้องกลับไปดายหญ้าที่สวนทำให้มีความเข้าใจดีว่า การจะทำอะไรก็ตาม ต้องรู้จักรอ รู้จักอดทน หากมีความมุ่งมั่น ทุกอย่างจะสำเร็จ

“เมื่อก่อนยังไม่มีไฟฟ้า ต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียง หากคืนไหนพระจันทร์สว่างพอก็อาศัยอ่านหนังสือ เด็กๆ ก็ยังพยายามจะอ่านหนังสือกัน แต่ปัจจุบัน มีพร้อมทุกอย่าง เด็กๆ กลับไม่อยากจะเรียนหนังสือกัน การศึกษาไทยในอดีต เป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริง เรียนรู้จากครอบครัว แต่เนื่องจากวิถีโลกได้เปลี่ยนไป การศึกษาไทยในปัจจุบัน เน้นเทคโนโลยีค่อนข้างเยอะ บทบาทของ ครอบครัวก็จะน้อยลง การเรียนรู้ก็ไม่ได้อาศัยประสบการณ์จริง แต่เป็น การเรียนรู้แบบองค์ความรู้ ต่างจากในอดีตที่เป็นแบบการปฏิบัติ”

“คำว่าความสุข พบได้ในวัยเด็กจริงๆ เพราะในอดีตความสุขหาได้จากธรรมชาติ หาได้จากวัฒนธรรม ประเพณี กิจกรรมของเด็กๆ จะเกิดในช่วงตามวันประเพณีสำคัญ เราจะมีวิ่งเปรี้ยว ในวันสงกรานต์ แข่งเรือในแม่น้ำ ที่ไม่ได้เน้นชัยชนะ แต่เป็นการพบประพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน การทำบุญตักบาตรที่วัด จะทำให้เราได้พบเพื่อนฝูง พบผู้ใหญ่ถามไถ่สารทุกข์ พบพระเพื่อสนทนาธรรม”

ในเรื่องการศึกษานั้น ท่านจะเน้นว่า ครอบครัวเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับวัตถุค่อนข้างมาก จิตใจเราก็จะแข็งกระด้าง ถ้าเป็นไปได้ การศึกษาจะต้องสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่ การที่เราก้าวเร็วเกินไปโดยไม่ได้ปรับพื้นฐานทางครอบครัวให้ชัดเจน ก็จะทำให้เกิดปัญหาของการปรับตัว

“แม่ คือครูคนแรก สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เป็นทางการ สอนสิ่งที่ไม่ต้องใช้ไปสอบแข่งขันกับใคร สอนความเป็นคนให้ลูก แม่สามารถเลี้ยงลูกที่บ้านทั้ง 6 ให้เป็นคนดีได้ แม่ไม่เคยบอกให้ลูกๆ ต้องอ่านหนังสือ ไม่เคยบอกให้ทำการบ้าน ไม่เคยปลุกให้ไปโรงเรียน ไม่เคยบอกว่าให้กลับบ้านกี่โมง เสาร์อาทิตย์ ก็ไม่เคยบอกให้อยู่ช่วยงาน แต่ลูกทุกคนก็อยู่ ถามว่าทำไมลูกๆ ถึงรู้จักหน้าที่ เพราะว่าแม่เป็นต้นแบบ ได้เห็นพี่ป้าน้าอา ญาติๆ ทำตัวเป็นแบบอย่าง นั่นถือว่าเป็นการเรียนที่ดีที่สุด”

“หลังจากจบ ก็สอบได้ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ครั้งแรกทางบ้านไม่อยากให้ไป เพราะไกลมาก แต่ก็คิดว่าชีวิตเป็นของเรา ต้องออกไปเรียนรู้ ที่บ้านก็ฝึกให้รู้จักความอดทน แข็งแกร่ง มาแล้ว และต้องขอบคุณมหาวิทยาลัยที่ฝึกให้เราเข้มแข็งไปกว่าเดินอีก เมื่อปี 2521 ปัตตานี เป็นเมืองน่ารักน่าอยู่มาก ไม่มีความแตกแยก จะไปไหนก็ปลอดภัย การเรียนที่ มข. ทำให้ได้เพื่อนแท้ในชีวิต สงขลานครินทร์ ให้ทุกส่ิงทุกอย่าง ทุกๆ ปีดิฉันต้องกลับไปกราบพระราชบิดากรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งท่านมีคำสอนที่เราท่องได้อย่างขึ้นใจว่า”

ขอให้ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นกิจที่ 1 ลาภ ยศ สรรเสริญ จะตกแก่ท่านเอง… ถ้าเราทำดีเพื่อส่วนรวม เราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมาเอง

เมื่อจบปริญญาตรีเมื่อปี 2524 อ.มาเรียม บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนภัทรญาณวิทยา อ.นครไชยศรี     “ตอนนั้นยังไม่อยากกลับ การเรียนปริญญาตรีให้อะไรกับชีวิตมากๆ นักเรียนส่วนใหญ่เป็นคนต่างถิ่น แต่เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่มีการแบ่งแยก มีงานอะไรก็เข้าร่วมได้หมด เช่นงานรายอ ไปกินไปนอนบ้านเค้า เค้าก็มาบ้านเรา มีแต่เรื่องสนุก เป็นงานรื่นเริง ทำให้ได้เพื่อนที่แท้จริง และคบหากันมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วเรายังทำโครงการชมรมอาสาพัฒนาชนบท ออกค่ายตามพื้นที่ห่างไกลต่างๆ ทำให้ได้เพื่อนเยอะแยะมากมาย ทุกปียังกลับไปเยี่ยมเยียนกัน ถึงแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปพอทำงานได้สักพักก็ตัดสินใจเรียนปริญญาโท สอบได้หลายแห่งแต่ตัดสินใจกลับไปที่ มข.ปัตตานี อีกครั้ง เพราะผูกพันกับอาจารย์ แล้วก็อยากจะไปเจอกับเพื่อนๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ตอนไปอีกรอบใครถามก็บอกเลยว่า กลับมาเพราะรักอาจารย์ รักเพื่อน รักชุมชนที่นั่น รวมใช้ชีวิตที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ถึง 6 ปี แล้วทุกๆ ปีจะมีชาว มข. มาประชุมกันที่กรุงเทพฯ พวกเราที่มีอยู่ด้วยกันราวร้อยกว่าคนจากทุกสารทิศก็จะมาเจอกันโดยพร้อมเพียง”

“การเรียนรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป ดิฉันสอบต่อปริญญาเอกได้ และเลือกเรียนทางด้านวิจัย ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร หลังจากรับราชการมาแล้วราว 7 ปี ต้องตัดสินใจลาออกเพื่อเรียนต่อ เมื่อต้นทุนชีวิตสูงก็ทำให้ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ โชคดีที่ได้พบกับ ศ.ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ท่านเป็นลูกของพระยาฯ แต่ก็ยังลงพื้นที่ทำงาน เป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตให้กับเรา สอนเรื่องการศึกษากับการพัฒนาคน สอนเรื่องวัฒนธรรม ความเป็นภูมิปัญญา เน้นการทำวิจัยทางด้านศิลปวัฒธรรมและภูมิปัญญา เป็นการทำงานที่ต้องลงพื้นที่ไปพบกับปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทห่างไกล เปรียบได้กับการใช้ชีวิตในวัยเด็กของเราซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ท้องไร่ท้องนา ทำให้ได้แง่คิดอย่างมากมาย และระหว่างเรียน ท่านก็ชวนให้กลับมารับราชการ สมัยที่ท่านเป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และเริ่มงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533-2538 โดยเริ่มกลับมานับอายุราชการใหม่ เราก็ได้เรียนรู้หล่อหลอมจากท่าน ท่านเป็นทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เป็นเจ้าภาพในวันแต่งงาน เป็นทุกอย่างให้กับชีวิต เหมือนคุณพ่อคนที่สอง”

“อีกท่านที่มีพระคุณกับชีวิตมากๆ คือ รศ.ดร.วิชัย วงษ์ใหญ่ เพราะในการเรียนปริญญาเอกต้องฝึกความอดทน ความมุ่งมั่น การคิดว่าเรียนปริญญาเอกแล้ว มีความรู้แล้ว อยากจะทำแบบนั้นแบบนี้ ช่วงของการเรียนกับชีวิตที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็อาจจะทำให้คิดอะไรยังไม่แตก คิดยังไม่ตก อาจารย์ทั้งสองท่านนี้ ช่วยทำให้ชีวิตของเรา ทั้งคิดแตก คิดตก และคิดออก ว่าการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเป็นลักษณะไหน ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อให้จบเร็วที่สุด ท่านอาจารย์เอกวิทย์ ส่งให้ดิฉันไปเรียนหนังสือเพิ่มอีกปี เก็บข้อมูลในพื้นที่อีกปี แนวในการทำวิจัยก็จะเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิต เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นคน ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ มุมมองของผู้คน แทนที่จะเก็บข้อมูลโดยการใช้กระดาษ แล้วก็ไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นจริงหรือไม่”

“ดิฉันคิดว่าจากชีวิตในวัยเด็ก จนถึงวัยปัจจุบันในการทำงาน มีความสืบเนื่องในเรื่องของวิถีชีวิตที่หลากหลาย เป็นช่องทางและโอกาสที่ทำให้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ ทุนที่ได้มา จำนวนหลายล้านบาทนั้นก็สนับสนุนงานวิจัยในเชิงคุณภาพ ให้ความสำคัญกับเนื่องจากสมัยที่ดิฉันเรียนนั้น การวิจัยจะเน้นเชิงปริมาณ ใช้สถิติและข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ซึ่งท่าน ศ.ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง เป็นผู้จุดประกายให้ดิฉันขึ้นมา ด้วยคำถามว่า ถ้าคุณทำสิ่งนั้น เป็นแล้ว ทำไมต้องทำสิ่งนั้นซ้ำอีก คุณควรจะเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย เมื่อถามถึงผลงานจึงได้รับคำตอบว่า

“งานวิจัยที่ทำมีความภาคภูมิใจทุกเล่ม เป็นการทำแบบลงพื้นที่ไม่ใช่ส่งแบบสอบถามไปให้ตอบกลับ เป็นการเก็บข้อมูลจริง เช่นเรื่องการวิจัยเกี่ยวกับการปรับหลักสูตรใหม่ ซึ่งคณะศึกษาศาสตร์ ม.ศิลปากร

โดยดิฉันเป็นหัวหน้าโครงการฯ มีการเก็บข้อมูลกับผู้บริหารเขตพื้นที่ ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศน์ ผู้บริหารของ สปฐ. นักวิชาการ ครู นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา เป็นจำนวนมาก ทั้งหมดเป็นการเก็บข้อมูลในพื้นที่ เวลาทำวิจัยเราไม่ได้ดูว่ามีงบเท่าไหร่ แต่เราถามว่าทำอย่างไร เราถึงจะได้ข้อมูลที่ตอบโจทย์มากที่สุด ตรงนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจที่คิดว่า การทำงานครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันในหลายภาควิชา และยังได้ฝึกนักศึกษาปริญญาเอกเก็บข้อมูลในพื้นที่อีกด้วย การทำวิจัยครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสอนน้องๆ ในคณะฯ ที่เป็นอาจารย์ใหม่ให้ทำวิจัยแล้ว เป็นการวิจัยบูรณาการระหว่างภาควิชา ได้ฝึกนักศึกษาปริญญาเอกที่กำลังเรียนทำการวิจัยได้เก็บข้อมูลในพื้นที่ โชคดีที่มีศิษย์เก่าอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ทำให้เราได้เห็นว่า ภาพของหลักสูตรที่คนเห็นกันว่าสวยหรู แต่ความเป็นจริงของสังคมแล้วมันคืออะไร และได้คำตอบที่ดีมากว่า หน้าตาของหลักสูตรใหม่จะเป็นอย่างไร ผลจากการเก็บข้อมูลครั้งนั้น ปัจจุบันนโยบายหรือแง่มุมทางการศึกษาได้เปลี่ยนไปตามผลการศึกษาครั้งนั้นไปเป็นจำนวนมาก”

“เมื่อเรียนจบปริญญาเอกมาแล้ว ควรจะใช้องค์ความรู้ ในเรื่องจะพัฒนาคนอื่น ก็มาสมัครเป็นอาจารย์ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่เมื่อปี 2538 การได้ทำงานที่ มหาวิทยาลัยศิลปกรถือว่าเป็นบุญ เพราะดิฉันเชื่อว่าพวกคงต้องมีความผูกพันกับพระราชวังสนามจันทร์มาตั้งแต่หนหลังทางใดทางหนึ่งก็เป็นได้” อ.มาเรียม ยังให้บทสรุปส่งท้ายสำหรับการทำงานไว้ว่า

“การทำงานต้องสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆ ต้องพยายามให้ทุกคนสร้างนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ และต้องได้มาตรฐานวิชาชีพ มาตรฐานของ AEC ของนานาชาติด้วย เราไม่แข่งกับสถาบันอื่น แต่จะร่วมมือกัน จับมือกันทำงาน ซึ่งหลักการทำงานของดิฉันมีหลักง่ายๆ ว่า ต้องมีแรงบันดาลใจ มีความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ทำงานแบบเดิมๆ งานประจำที่ทำก็สำคัญ แต่ต้องใส่ความคิดใหม่ๆ เข้าไปด้วย ยิ่งปัจจุบันเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ก็ต้องคอยติดตามเพื่อให้ทันสมัยไม่ตกยุค สุดท้ายแล้วเราจะได้ นวัตกรรมกลับมาค่ะ”

1001-int-ww-2

1001-int-ww-3