ถ้าทำแล้ว จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด – ประกาย คำภูศิริ
ถ้าทำแล้ว จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด
ประกาย คำภูศิริ
The Loft Seaside Sriracha Hotel
อีกหนึ่งในสตรีเก่งและแกร่งจนต้องยกนิ้วให้ในความเป็น Working Woman ตัวจริง เพราะชีวิตนี้ผ่านร้อนผ่านหนาว ลุยงานจนเลยคำว่าเหนื่อยไปไกล สามารถก้าวขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับกันว่า สาวใจนักสู้ท่านนี้ เป็นคนต้นแบบที่น่าจดจำนำไปเป็นตัวอย่างให้กับชีวิต
“เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อได้ไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นค่ะ” คุณกาย เผยถึงที่มาก่อนจะกลายมาเป็นหญิงแกร่ง
“ตอนนั้นเราก้าวออกจากปัญหาความวุ่นวาย ไปแสวงหาโอกาสใหม่ให้กับชีวิต แล้วสิ่งที่ได้ก็ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่ามากๆ เพราะความแตกต่างของสภาพบ้านเมือง ผู้คน วัฒนธรรม ทำให้ต้องเรียนรู้ ต้องปรับตัว และต้องสู้เพื่อให้ชีวิตรอด เราไปแบบแทบจะเริ่มจากศูนย์ ค่อยๆ สร้าง อดทน ค่อยๆ สะสม สร้างธุรกิจขึ้นมาเรื่อยๆ จนตั้งตัวได้”
ชีวิตในญี่ปุ่นสอนให้เธอได้เรียนรู้ในเรื่องความมีระเบียบเป็นอย่างยิ่ง ต้องต่อสู้กับความรีบเร่ง ทุกอย่างต้องตรงต่อเวลา ต้องซื่อตรงกับทุกเรื่อง ไม่มีใครได้รับการยกเว้น เคยมีครั้งนึงเธอตื่นสาย ลูกจะไปโรงเรียนไม่ทัน แม่กายเลยขับรถไปส่งที่โรงเรียน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ไกลจากบ้านมาก แต่ดันมีเพื่อนของลูกเห็นเข้าพอดี ผลลัพธ์ก็คือ “วันนั้นทั้งวัน ไม่มีใครเล่นกับลูกเราเลยสักคน ถูกล้อว่าเป็นขี้แงแม่ต้องขับรถมาส่ง กลายเป็นตัวประหลาด เพราะเขาเคร่งครัดในเรื่องระเบียบวินัยมาก” เธอเล่าถึงความผิดที่คิดว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เพียงแค่ละเลยมองข้ามเรื่องวินัยเล็กๆ น้อยๆ แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญของประเทศนี้
คุณกายยังเสริมอีกว่า.. “สังคมญี่ปุ่นเขาปลูกฝังเรื่องความเท่าเทียม เขาไม่มองกันที่วัตถุ ไม่มีใครทำตัวให้โดดเด่นกว่าใคร หรือจะข่มใครให้ด้อยกว่า เขามองว่า ทุกคนเป็นคน มีสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด ต่างกันตรงหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่มีใครดูถูกกัน ไม่ว่าคุณนั้นจะทำงานอะไร ทำหน้าที่แบบไหน เขาให้คุณทำงานด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ก็ได้รับการยกย่องแล้ว แต่ถ้าคุณทำความผิด ทำความเลว ผลลัพธ์ที่รุนแรงจะส่งถึงกันทันที แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ใส่ใจ เช่น การทิ้งขยะก็เป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนเขาคัดแยกประเภทกันจริงจังว่าวันไหนจะทิ้งประเภทไหนได้บ้าง ถ้าละเลยทิ้งปนกันเมื่อไหร่ จะมีจดหมายมาแจ้งเตือน หรือการที่ทุกคนต้องผลัดกันไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม ไม่ว่างานจะเยอะแค่ไหน ตำแหน่งหน้าที่การงานจะสูงอย่างไรก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยง ทุกคนยินดีไปเข้าร่วมด้วยความเต็มใจ”
หลังจากใช้ชีวิตในต่างแดนได้ 6 ปี พี่สาวก็เรียกตัวคุณกายให้กลับมาเพื่อช่วยทำธุรกิจทางด้านอสังหาฯ ใหม่ๆ เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ต้องมาเรียนรู้กันใหม่หมด พอดีในช่วงปี 2540 ย่านอื่นมีปัญหาในเรื่องธุรกิจอสังหาฯ แต่ที่ศรีราชากลับไม่มี วิกฤติจึงกลายเป็นโอกาส สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยังไม่เสร็จก็รีบโอนกันแล้ว พอทำงานไปได้พักใหญ่เริ่มเข้าใจในธุรกิจ
“ขอพี่สาวเริ่มทำเองบ้าง โดยเริ่มจากธุรกิจที่พักอาศัยให้กับชาวญี่ปุ่น อาศัยที่เราสามารถติดต่อสื่อสารได้ มีความเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น ว่าเขาชอบอะไร ทำอะไรแบบไหน แล้วช่วงนั้นชาวญี่ปุ่นก็เข้ามาอาศัยในเขตศรีราชากันมาก พี่สาวก็แนะนำให้ซื้อตึกเพื่อทำเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ให้กับชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ”
ผลตอบรับกลับมานั้นดีมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เพราะคนญี่ปุ่นนับว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่แค่ที่พักดี บริการดีแล้วจะจบ เขาจะอยู่ในกลุ่มชาวญี่ปุ่นด้วยกันเท่านั้น ความปลอดภัยต้องสูงสุด การติดต่อสื่อสารต้องคุยกันรู้เรื่อง ครั้งแรกหาลูกค้าได้ยากมาก จนกระทั่งเมื่อชาวญี่ปุ่นเริ่มเข้ามามากขึ้น ที่พักอาศัยเริ่มไม่พอกับความต้องการ ราคาก็สูงมากกว่าที่อื่นๆ ทำให้มีผู้เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้กันเยอะมากขึ้น
“จากนั้นก็เริ่มขยายงานเป็นการทดลองฝีมือตัวเอง ไปทำโครงการทาวน์เฮ้าส์ อพาร์ทเม้นต์ แต่สำหรับคนไทย พี่สาวก็สนับสนุน ผลงานก็ออกมาดี ก็มาเปิดโครงการ ยูยูแลนด์ โดยคุณสมพงษ์ สมวงษ์ เจ้าของพื้นที่ให้การสนับสนุน เป็นร้านอาหาร จากเดิมเป็นบ้านพักอาศัย อยู่ในทำเลที่สวยมาก แล้วทำเป็นร้านอาหาร ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งเราเองก็มีประสบการณ์ เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นที่ศรีราชาอยู่แล้วถึง 3 แห่งด้วยกัน มีผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นมาเป็นเชฟ ลูกค้าก็เป็นชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ต้องเข้าคิวรอกันเลย”
เพราะการขยายตัวของศรีราชา และมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาอาศัยอยู่มาก ที่นี่จึงได้รับขนานนามว่าเป็น “ลิตเติ้ลโอซาก้า” ยิ่งช่วงปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ หรือมีปัญหาทางการเมือง ผู้คนยิ่งแห่เข้ามาที่ศรีราชา คนญี่ปุ่นที่มาทำงานใช้ชีวิตกันอย่างเต็มที่ จนเกิดการบูมทางเศรษฐกิจขึ้น แต่หลังจากนั้น เมื่อประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีการถดถอยทางเศรษฐกิจลงบ้าง บริษัทต่างๆ เริ่มประหยัดมากขึ้น จากเดิมเคยส่งพนักงานระดับสูงที่ต้องมีค่าใช้จ่ายดูแลรับรองสูงมาอยู่ประจำ ก็กลายเป็นส่งพนักงานอาวุโสน้อยๆ เงินเดือนไม่สูงมาทำงานแทน การกินการอยู่ของเขาก็เปลี่ยนไป ทำให้ธุรกิจไม่บูมเหมือนก่อนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคงไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียวที่เกิดปัญหา ที่อื่นๆ ทั่วโลกก็เกิดวิกฤตินี้เช่นเดียวกัน
การเป็นนักธุรกิจแล้วมีผู้ใหญ่ให้โอกาสต้องถือว่าเป็นโชคอย่างมหาศาล โชคดีที่คุณสมพงษ์ ให้โอกาสกับคุณประกายเพื่อทำธุรกิจโรงแรมซึ่งพื้นที่ติดกับโครงการยูยูแลนด์ พอเชื่อมกันแล้วทำให้โครงการดูยิ่งใหญ่มาก ได้พื้นที่ผืนสวยติดกับอ่าวไทย มีทัศนียภาพสวยงามมาก เป็นทำเลที่ไม่อาจจะหาได้จากที่ไหนอีกง่ายๆ โรงแรมศรีราชาลอดจ์แห่งนี้มีชื่อเสียงมายาวนาน ทำให้เธอสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อคิดไตร่ตรองอยู่สักระยะก็ตัดสินใจรับช่วงโรงแรมมาทำต่อ ปรับปรุงโฉมใหม่สู่การเป็น The Loft Seaside Sriracha Hotelถึงแม้จะรู้ว่าต้องเหนื่อยสักแค่ไหน แต่เมื่อตัดสินใจทำแล้วก็รู้สึกมีความสุข
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ เพิ่มระเบียงให้กับทุกห้อง ทำให้สัมผัสกลิ่นอายความสดชื่นของทะเล ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น งบประมาณที่เคยตั้งไว้ก็ขยับขึ้นเรื่อยๆ จนสูงเลยเท่าตัวไปอีก แต่คุณกายก็ยินดีเพราะทำให้สวยถูกใจ มีความทันสมัย ปลอดภัย ใหม่ สะอาด และยังได้บุคลากรที่มีฝีมือในด้านต่างๆ มาช่วยเติมเต็มให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตามโครงการมีห้องพักทั้งหมด 79 ห้อง ก็ทำการปรับปรุงไปเรื่อยๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือน กันยายน 2559โดยแต่ละห้องเมื่อทำเสร็จคุณกายต้องไปเข้าพักด้วยตัวเองเพื่อตรวจความเรียบร้อย อุปกรณ์เครื่องนอนต่างๆ ก็ไปเลือกเองกับมือ เพราะอยากให้มีความรู้สึกว่า นอนที่นี่แล้วสบาย ปลอดภัย เหมือนนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน สร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าพักว่าได้พยายามดูแลให้ทุกห้องอยู่ในสภาพดีที่สุด
ทำเลที่นี่ ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของศรีราชาได้เลย เป็นทำเลที่สวยงามสะอาด มองไปทางไหนก็เจริญตา
“เราจะทำที่นี่ให้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวศรีราชา เรามีวิถีชีวิตของชาวบ้านอยู่ตรงหน้าโรงแรมให้เห็น เขาเก็บหอยได้เราก็รับซื้อไว้หมด แล้วนำมาเป็นมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ หอยหน้าร้านผัดพริกเผา.. การทำโรงแรมฯ เป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงของเราที่อยากจะสร้างที่นี่ให้เป็นของทุกๆ คน อย่างน้อยที่สุด ถ้าจะมาพักผ่อนที่ศรีราชา อยากจะเห็นบรรยากาศทะเลสวยๆ มีอาหารอร่อยๆ ที่พักสะดวกสบาย ก็อยากให้นึกถึง The Loft Seaside Sriracha Hotel”
คุณประกายย้ำ “ไม่ว่าอะไรก็ช่าง ถ้า ประกาย ทำแล้ว จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด เพราะคิดว่าถ้าทำถึงที่สุดทุกอย่างจะต้องออกมาดี ไม่เคยคิดทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ หรือทำแค่ให้มีกำไรก็พอ ชีวิตก็มักจะเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด คือพอทำไปเรื่อยๆ เหมือนจะเจอทางตัน แต่เดี๋ยวก็มีทางออกมาให้ แล้วเวลาทำอะไรมันไม่ใช่แค่เรื่องของเราคนเดียว ทุกคนต้องเดินไปด้วยกัน มีน้ำใจ มีความจริงใจให้กัน แล้วผลประโยชน์ที่ทุกคนได้รับก็ต้องยุติธรรม ที่นี่เหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ เรามีความเป็นห่วงทุกๆ คนที่มาอยู่ด้วยกัน เป็นเหมือนแม่ของลูกๆ บางครั้งถูกมองว่าทำไมถึงโง่จังก็ยังมี แต่การที่เราปล่อยๆ ไปบ้าง ไม่พิรี้ร่ำไร ไม่พอใจก็ว่ากันเลย ให้แก้ไขเดี๋ยวนั้นแล้วจบกันเลย มันจะทำให้เราเดินต่อไปได้”
“งานทุกอย่างเราเริ่มจากการเรียนรู้ อะไรที่เราทำได้ เขาก็ต้องทำได้ แม้กระทั่งงานเล็กๆ น้อยๆ อย่าง กวาดถูพื้น จัดดอกไม้ ทำความสะอาด สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้เขาเห็นว่า ต้องทำให้เป็นนิสัย เห็นอะไรที่ไม่เรียบร้อยต้องจัดการทันที คนไหนที่มีเจตนาดีในการอยู่กับเรา เขาก็จะมีความสุขและอยู่ด้วยกันยาวนานไม่หนีไปไหน เราไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน เราคือคนทำงาน มีความจริงใจในการคบหา ความสุขที่สุดของชีวิตคือการทำงาน”
คุณประกาย ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ จนถึงขนาดมีชาวญี่ปุ่นเอ่ยปากเลยว่า
“ชีวิตของประกายซังเหมือนปลามากุโร่ ต้องดิ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าหยุดดิ้นก็คือไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว”
และนี่แหล่ะคือชีวิตของ “คุณกาย” ตัวจริง ที่ต้องบู๊ สู้ไปให้สุด ของ Working Woman ฉบับนี้ค่ะ