รอคอย
เขียน..เมื่อมีลมหายใจ
ตอนที่ 2 รอคอย
ฉันรู้ว่า…เธอเดินทางมาไกลโพ้น ไกลเกินกว่ามนุษย์ทั้งหลายอย่างเราๆ จะทำได้เพราะมันต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ เหนื่อยล้า…แต่เธอกับไม่เคยท้อแท้…เธอหาญกล้ามากที่สามารถขจัดความกลัว เดินทะลุกำแพงผ่านขวากหนามที่ขวางกั้น ด้วยพลังอันแรงกล้าของเธอเอง เธอหกล้ม บาดเจ็บ เช็ดน้ำตา แต่เธอก็ประคองตัวเองลุกขึ้นมาเดินต่อ ด้วยเชื่อมั่นในคำสัญญาระหว่างเธอกับเขา ดวงจิตวิญญาณอันเหนียวแน่นของเธอ อสงไขยเวลา….
ต่อจากนี้ฉันกับเธอเราคือเพื่อนแท้ต่อกันนิรันดร์กาล ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของฉันจะหมดไปจากโลกใบนี้ ฉันจะร้อยเรียงอักษรเพื่อให้ชาวโลกรู้ว่า ความรักอันยิ่งใหญ่ ของผู้มีสัจจาธิษฐานนั้นมีอยู่จริง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน ฉันสัมผัสกับเธอได้ แม้เราจะอยู่กันคนละภพภูมิในเวลานี้ก็ตาม เรื่องราวของเธอทำเอาฉันเศร้าลึกน้ำตาไหล ฉันก็ยินดีที่จะทำหน้าที่นี้ให้เธอ ฉันบอกและปลอบใจตัวฉันเองว่า แค่แว๊บเดียวน่า…มันเป็นเพียงแค่การทดสอบตัวฉันไปด้วยก็เท่านั้น เอง แม้มันจะเป็นหน้าที่ที่แสนยากสำหรับฉัน…เพราะฉันไม่ใช่นักเขียน เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะแนวทาง สอนให้รู้ถึงทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางแห่งการดับทุกข์ โดยเพียรบำเพ็ญ ศีล สมาธิ และปัญญาภาวนาอย่างเนื่องนิจไม่ประมาท ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เดินทางสายกลาง รู้เท่าทัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ทางใจ ไม่ปรุงแต่ง ไม่หลงยึดติด ในอารมณ์ ให้มีสติ คอยเตือนจิตไม่ให้หลงครอบงำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้ จนเกิด พุทธะในจิต สามารถเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานได้ตลอดเวลา ซึ่งจะนำความสุขสงบให้กับชีวิตอย่างถาวร พ่อใหญ่ ….สอนฉันให้นำ พรหมวิหาร 4 มาใช้ในการดำรงชีวิต “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา” พ่อเจี๊ยบ…สอนฉันว่า “อย่ากลัวถ้าจะไปสร้างความดี”
ฉันเริ่มเดินทางบุญตามวิถีของฉัน โชคดีที่มีน้องสาวคู่ใจร่วมทางเดินเป็นเงาตามตัว ทำในสิ่งที่คนรอบข้างบางคนมองดูงมงาย เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เริ่มจากปี 2552 …บายศรีเชิญ จากหนองคาย สู่ตลาดน้ำสี่ภาคพัทยา น้ำทะเลสู่น้ำโขงท่าหายโศก หนองคาย น้ำโขงสู่น้ำทะเล กลับไปกลับมาแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเป็นเวลากว่า 10 ปี ณ เวลานั้นฉันเริ่มทบทวนความทรงจำ…ฉันยังจำได้ฉันเห็นเธออยู่ไกลลิบๆ ไม่ชัดเจนที่ตลาดน้ำสี่ภาคพัทยาจากนั้นเธอก็จางหายไป กลับมาบ้านครั้งนี้ฉันกับเห็นภาพเธอเด่นชัดในความงดงาม มีศีลรอบกายที่ริมสระบัว วัดใหญ่คลายคีรี วัดครูบาอาจารย์ของฉันนี่เอง
จับมือฉันไว้ให้แน่นๆนะ…เรื่องราวความรักของเธอมันเหนือจักรวาลใดๆ จริงๆ เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ซ่อนเก็บไว้ด้วยเมตตา ความรักของเธอสร้างชีวิตได้แล้ว ฉันมั่นใจเพราะความรักของเธอมีพลัง พลังที่ห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายของศีล ดอกบัวสีเหลืองชูช่อโดดเดี่ยวงดงาม ที่เธอโปรดปรานเป็นนักเป็นหนา มันสื่อสารให้ฉันรับรู้ได้ว่า ผ้าเหลืองที่ห่มกายของพระสงฆ์องค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวัดใหญ่คลายคีรีเป็นที่พักพิงในการรอคอยของเธอ ฉันไม่สามารถหาคำตอบให้เธอได้ ว่าเมื่อไหร่ ?เวลาไหน ?นานเท่าใด? ที่เธอจะได้เจอกับเขา…
ฉันได้ยินเพียงว่า…..
โอ้เจ้าทะเลฝัน ใจฉันหวั่นไหว กลัวเธอเผลอใจ ฉันคงไปไม่ถึงปลายฝัน เสียงพิณถิ่นลำโขง โยงสองเราผูกพัน ถ้าเธออยู่ตรงนั้น อย่าปล่อยให้ใจพลันเลื่อนลอย ช่วยเอาตัวกลับมา มาหาทะเลใจน้อย เพราะรักมั่นฉันยังคอย คอยเธอกลับมา… .