Interview

ไม่มีอะไรยาก หากทำเต็มที่ – คณิต วัลยะเพ็ชร์

คณิต วัลยะเพ็ชร์
บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด
“ไม่มีอะไรยาก หากทำเต็มที่”

ชีวิตผมมีเพื่อนมาก เพราะต้องย้ายตามคุณพ่อที่เป็นผู้พิพากษาไปทำหน้าที่ตามจังหวัดต่างๆ จนเมื่อเข้าเรียนมัธยม ผมถึงมากรุงเทพฯ เข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์

กิจกรรมในโรงเรียนชายล้วนมีให้ทำเยอะมาก พวกเราแปรอักษรกันตั้งแต่ยังไม่มีในมหาวิทยาลัย เริ่มจากในงานฟุตบอลจตุรมิตร แล้วเมื่อเข้าไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็นำการแปรอักษรนี้เข้าไปเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันดี, ผมได้ขับร้องเพลงไทยเดิม ในวงเครื่องสายของโรงเรียน ได้เป็นตัวแทนไปร้องตามงานต่างๆ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวงดุริยางค์, ได้รำไทย, ได้เป็นลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่สายสะพาย ซึ่งเทพศิรินทร์เป็นรุ่นแรกของประเทศไทย

ผมอยากเจริญรอยตามอาชีพคุณพ่อ จึงเลือกเรียนกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่น 2 ช่วงนั้นตรงกับเหตุการณ์สำคัญ คือ 14 ตุลา นักกฎหมายจึงมีกิจกรรมเยอะ ทั้งการเมืองและการศึกษา ผมเป็นประธานชมรมนิติศาสตร์, ประธานชุมนุมแผนกต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งตั้งพรรคนักศึกษา เพื่อเป็นองค์การนักศึกษาด้วย ทำให้การเรียนเป็นไปแบบเอาตัวรอด แต่พอขึ้นปี 4 รู้ตัวว่าต้องตั้งใจเต็มที่ มิเช่นนั้นจะไม่จบตามกำหนด ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นอย่างมาก เพียงปีเดียวสามารถเก็บได้ถึง 54 หน่วยกิต มากกว่า 1 ใน 3 ของหลักสูตรทั้งหมดเสียอีก

การจะเป็นอัยการ หรือ ผู้พิพากษา ได้นั้น ไม่ว่าจะจบสถาบันการศึกษาใด ก็ต้องผ่าน เนติบัณฑิต ผมได้เข้าเรียนในรุ่นที่ 20 เมื่อปี พ.ศ. 2519 ซึ่งสอบทั้งหมดราวสามพันกว่าคน ตามหลักสูตรเรียนแค่ปีเดียว แต่จบได้ตามกำหนดนั้นมีเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้นเอง ผมเป็นหนึ่งในนั้น ในรุ่นผมบางคนใช้เวลาเรียนมากถึง 17 ปีกว่าจะผ่านก็มี

ครั้งแรกไม่ได้คิดจะเป็นทนาย ตอนที่จบเนติบัณฑิตอายุย่างเข้า 21 ขณะที่สมัยนั้นอัยการ รับที่อายุ 23 ผู้พิพากษารับที่อายุ 25 เพื่อนๆ ที่จบในรุ่นอายุถึงก็ไปสมัครกันได้ทันที แต่ผมต้องเวลา จึงไปเป็นทนายก่อน พอวันที่อายุครบ 23 จะไปสมัครอัยการ ระเบียบใหม่ก็กำหนดให้รับที่อายุ 25 เหมือนกับผู้พิพากษา แล้วพอผมอายุ 24 ต้องตัดสินใจว่า จะเป็น อัยการ ผู้พิพากษา หรือ ทนาย เหมือนเดิม

ขณะนั้นผมมีรายได้จากการเป็นทนายมากพอสมควร ถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น ถ้าจะให้กลับไปรับเงินเดือนที่น้อยกว่าจากการเริ่มเป็นอัยการ ผู้พิพากษา ก็คงลำบาก ทำให้ตัดสินใจยึดอาชีพทนายต่อไป ทั้งๆ ที่ครั้งแรกตั้งใจว่า จะเป็นทนายเพื่อรอเวลาสอบไปเป็นผู้พิพากษาเท่านั้น

แต่กว่าจะเรียนเนฯ จบ ผมต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2482 โชคดีที่คุณพ่อเป็นผู้พิพากษา มีคำพิพากษาศาลฎีกาสะสมไว้ ทำให้ไม่ต้องไปหาข้อมูลจากห้องสมุดที่ไหน เพราะที่บ้านยังมีเยอะกว่าเลย ทำให้ผมจำหลักของกฎหมายได้ อ้างอิงได้อย่างแม่นยำ

สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์เหมือนในปัจจุบัน ทำให้การค้นหาข้อมูลที่จะใช้เทียบเคียงนั้นยากมาก แต่เมื่อผมจำได้ว่าฎีกานั้นอยู่ในช่วงเวลาไหน เปิดไปก็เจอ ทำให้การค้นหากลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้หัวหน้าสำนักงานจึงเอาทุกคดีที่ทำมาให้ผมเปิดหาฎีกาเทียบเคียง และให้เปรียบเทียบความเหมือนความต่างในแง่บวกหรือลบอย่างไร เพื่อหาแนวทางในการต่อสู้คดี ทำให้ผมได้อยู่ในทีมกับหัวหน้าสำนักงาน หลังจากทำงานได้ไม่ถึงสิบปี เวลาที่หัวหน้าไม่อยู่ผมก็ต้องดูแลแทน ทั้งๆ ที่ขณะนั้นอายุเรายังน้อย พนักงานส่วนใหญ่อาวุโสกว่าทั้งนั้น

กฎหมายไม่มีสูตรสำเร็จ ถึงจะดูคล้ายๆ กัน แต่ก็มีรายละเอียดแตกต่างออกไป หลักคิดของผมมีอยู่ว่า ทุกคดี มีทางออกเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะหาเจอหรือไม่ ถ้าเชื่อมั่นว่าจะหาเจอ เราจะมีพลังในการสืบค้น ต้องหาวิธีต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาให้ตรงประเด็นที่สุด นำข้อมูลจากกองเอกสารที่มีทั้งหมด หลับตาแล้วนึกภาพต่อเป็นจิ๊กซอว์ อ่านไปจินตนาการไปว่าจะทำอย่างไร ถ้าเจอปัญหาแบบนี้แบบนั้นแก้ไขแบบไหน คืนนี้ตีสามยังคิดไม่ออก ตีสามคืนพรุ่งนี้อาจจะคิดออกก็ได้

ช่วงต้นของชีวิตผมทำงานหนักมาก ทำให้มีผลงานที่ประสบผลสำเร็จออกมาเยอะ ไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่ามันมีทางออก แล้วพยายามหาทางออกนั้นให้เจอ ทำงานมาได้ราวสิบห้าปี ผมก็อยากจะออกมาตั้งบริษัทของตัวเองบ้าง จังหวะนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 บริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี่ ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมาย ยังไม่มีแผนกคดีว่าความ พอดีที่ปรึกษาบริษัทฯ ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา ทราบว่าผมจะออกจากงาน เลยเสนอให้ผมมาเริ่มงานด้วย

เมื่อเริ่มงานทนายทั้งสำนักงานมีอยู่ราวสี่สิบกว่าคน โดยผมเป็นทนายว่าความคนเดียวของบริษัท ไปเริ่มในแผนกคดีด้วยการสร้างคน รับเด็กใหม่ๆ เก่งๆ เข้ามาฝึกงาน ทำให้ต้องทำงานตั้งแต่เช้าว่าความคดีนึง บ่ายอีกคดีนึง ตกเย็นรถติดก็อาจจะถึงออฟฟิศช้าหน่อย จัดประชุมกับลูกความ แล้วเตรียมคดีสำหรับวันต่อๆ ไป จากนั้นก็ประชุมลูกน้องในแต่ละคดี อธิบายประเด็น ชี้ให้เห็นข้อต่อสู้ หลักกฎหมายเป็นอย่างไร กฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเขียนบทความไว้อย่างไร ทั้งหมดนี้ให้ไปค้นเตรียมข้อมูลไว้ จากนั้นผมก็ไปประชุมกับลูกความรายถัดไป

พอตีสอง ผมก็เริ่มกลับมาประชุมกับรายแรกพร้อมกับข้อมูลที่เตรียมไว้ ตีสาม ก็ประชุมกับรายถัดไปอีก รุ่งเช้าก็ไปว่าความ เช้าคดี บ่ายอีกคดี ร่วม 40 ชั่วโมงที่ผมทำงานต่อเนื่องกันไป อย่างน้อยต้องมีแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง จนลูกน้องต้องหาที่พักมาอยู่ใกล้ๆ ออฟฟิศ เพราะผมจะต้องเรียกประชุมตีสองตีสาม ตามลำดับคดี ส่ิงเหล่านี้ทำให้น้องๆ ที่ทำคดีด้วยพัฒนาตัวเองเร็วมาก และแค่เพียงปีเดียว ผมก็ได้รับการเสนอให้เป็น Local Partner และอีกสองปีก็สร้างผลงานจนได้รับเสนอเป็น International Partner ซึ่งจะได้ถือหุ้นและเป็นกรรมการบริษัท แผนกคดีก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ ลูกน้องที่รับเข้ามาตั้งแต่เริ่มปัจจุบันบางคนก็กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทเหมือนกับผมแล้วก็มี แล้วยังมีขึ้นมาเป็น Local Partner ในแผนกอีกเกือบสิบคน

เราเป็นสำนักงานกฎหมายรุ่นแรกๆ ที่รับนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งเขาก็ยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ บางคนได้ก้าวมาเป็นอินเตอร์พาร์ทเนอร์ เป็นกรรมการฯ ถือหุ้น เป็นโลคัล พาร์ตเนอร์ อีกหลายคน ปัจจุบัน บริษัทฯ ที่มีทนายประจำการอยู่ถึงสองร้อยกว่าคนในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี เป็นสำนักงานทนายความทางธุรกิจที่มีสาขาตั้งอยู่ทั่วโลก มีผลประกอบการสูงสุดในธุรกิจประเภทเดียวกัน

หลักการทำงานของผมก็คือ ทุ่มเทให้ได้คุณภาพการทำงานที่ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด เพราะพวกเราคิดค่าแรงในการทำงานเป็นนาที ลูกความจะจ่ายแพงกว่าให้เราทำไม ถ้าคนอื่นเขาทำได้ ดังนั้นงานที่มาถึงเราจะเป็นงานที่คนอื่นทำแล้ว ให้ความเห็นแล้ว แต่ไม่เป็นที่พอใจ เมื่อมาถึงเราจึงมีแต่คดียากๆ หรือใกล้กำหนดขีดเส้นตายทั้งนั้น ผมมาทำงานแค่สัปดาห์ละ 3 วัน แต่ต้องอยู่ออฟฟิศถึง 5 วัน

งานของเราไม่ใช่แค่เพียงคุณภาพดีเท่านั้น ต้องเร็วด้วย ลูกค้าประชุมกันตอนบ่าย วันรุ่งขึ้นเราต้องมีความเห็นทางกฎหมายให้ในตอนเช้า เราต้องบอกเขาถึงหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง ความเห็นของเรา แนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่ได้นอน

ทันทีที่ลูกค้าได้รับข้อเสนอแนะ เขาสามารถดำเนินการต่อได้ทันที เงินลงทุนของธุรกิจมหาศาล เพียงแค่รอสัปดาห์เดียว ความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นมากตามไปด้วย แต่เราสามารถทำให้เขามีทางออกในวันรุ่งขึ้น กลางคืนทุกคนก็ต้องนอนอยู่แล้ว ตื่นขึ้นมาแก้ปัญหาได้ เขาแค่นำเศษของความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นมาจ่ายให้เรา แล้วยังเหลือเก็บกลับไปอีก นั่นคือจุดขายของเรา คือ มีคุณภาพและรวดเร็ว ทำให้มีลูกค้าให้ความไว้วางใจตลอดมา ซึ่งเรารับดูแลเฉพาะคดีความทางด้านธุรกิจเท่านั้น

ผมศึกษากฎหมายตั้งแต่ยังเป็นร่างกฎหมาย ทำให้ได้เห็นว่ากฎหมายที่ร่างมานั้น มีความเห็นว่าร่างครบไม่ครบ มีข้อเสนอแนะอย่างไร เราก็ทำส่งไปให้กรรมาธิการร่างฯ หรืออนุกรรมาธิการร่างฯ เพื่อให้กฎหมายได้ครบในมุมมองของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราได้รู้ตั้งแต่ต้นว่ากฎหมายนั้นจะกระทบธุรกิจในเชิงลบเชิงบวกกับอุตสาหกรรมไหน เราก็สามารถส่งจดหมายแจ้งให้กับลูกความ ว่าที่ลูกความ หรือเป้าหมายที่เราอยากได้ ให้ทราบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของเขา ซึ่งเรามีทางออกให้ กฎหมายยังไม่ทันออกใช้ เราก็มีงานทำแล้ว พอกฎหมายออก เราก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว

จากสิ่งที่เราทำอย่างนี้ บางครั้งก็ถูกเชิญให้ไปเป็นอนุฯ ร่าง เพราะวิจารณ์เขาเยอะ ทำให้ผมได้เข้าไปช่วยทางสภาฯ ทำอยู่หลายหน้าที่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมเป็น อนุกรรมาธิการ กฎหมาย ของ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) และ อื่นๆ อีกหลายคณะ เราก้าวเข้าไปช่วยงานด้านสังคม ทำให้ได้ความรู้ และนำความรู้นั้นไปทำให้กฎหมายสมบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น

อาชีพทนายความ มีสภาทนายความ คอยกำกับดูแล คณะกรรมการมารยาททนายความ มีหน้าที่คอยสอบสวนทนายที่ถูกร้องเรียน ตัดสินว่าผิดหรือไม่ แล้วพิจารณาว่าจะลงโทษสถานใด ซึ่งทนายทุกคนหากทำหน้าที่เกินสิบปี มีโอกาสถูกเชิญให้ไปเป็นกรรมการสอบสวน เมื่อทำหลายคดีก็ได้ถูกเชิญเป็นประธานกรรมการสอบสวน จากคณะกรรมการมารยาทฯ แล้วถ้ามีความอาวุโสมากขึ้นและไม่เคยถูกร้องเรียนอาจจะถูกเชิญไปเป็นกรรมการมารยาททนายความ ซึ่งผมเป็นมาหลายปี และเพิ่งพ้นจากตำแหน่งรองประธานกรรมการมารยาททนายความ ตามวาระเมื่อเร็วๆ นี้เอง ซึ่งการทำหน้าที่นี้ใช้เวลาเยอะมาก เหมือนทำงานให้ลูกความ แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะใช้คนอื่นทำให้ไม่ได้ เพราะต้องพิมพ์ไปอ่านไป แต่ทำให้ชีวิตมีคุณค่าและเที่ยงธรรมมากถ้าเราให้เวลาอย่างเต็มที่ และนี่ก็คืออีกสิ่งที่ได้ทำเพื่อสังคม

และเนื่องด้วยผมเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเก่าแก่ มีประวัติอันน่าภาคภูมิใจมายาวนาน ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการรวมตัวกับคณะนักเรียนเก่าทั้งหลาย โดยผมเองก็บริจาคด้วยตลอดมา เพื่อทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ให้กับโรงเรียน ซึ่งลงมือทำจนสำเร็จไปแล้วหลายอย่าง เช่น ห้องสมุดอิเล็คโทรนิค, เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเรียนการสอน, จ้างครูที่เกษียณแล้วแต่ยังมีใจรักการสอนมาสอนพิเศษ, ทำพิพิธภัณฑ์อิเล็คโทรนิค เก็บข้อมูลสำคัญๆ ไว้ให้ศึกษา

เมื่อสามปีก่อน พันเอก ดร. ยรรยง ภัทรเลาหะ ได้จัดสร้างห้องวิทยาศาสตร์ใหม่ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น พวกผมซึ่งเป็นศิษย์เก่ารุ่นเดียวกันเมื่อไปดูก็เห็นว่า ห้องเรียนโทรมมาก เด็กนักเรียนยังใช้โต๊ะไม้แบบเดียวกับสมัยที่พวกผมเรียน ทุกอย่างชำรุดขาดการบำรุงรักษาเพราะงบหลวงมีน้อย จึงเกิดความคิดว่าพวกเราจะปรับปรุงห้องเรียนให้ทันสมัย เมื่อนำไปปรึกษากับท่านผู้อำนวยการโรงเรียนว่าเราจะทำห้องเรียนให้ใหม่ทั้ง 6 ด้าน คือผนังโดยรอบ พื้น และฝ้าเพดาน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ด้านที่ติดถนนใช้วัสดุที่กันเสียงรบกวน ปิดม่าน เปลี่ยนกระดานดำให้เป็นกระจกที่ใช้สำหรับการเขียนได้ ทั้ง 4 ด้าน มีคอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ เครื่องฉาย และ ทีวี 50 นิ้ว เพื่อดึงข้อมูลจากห้องวิทยาศาสตร์มาแสดงได้ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้งบหลวง แต่เป็นการบริจาคของพวกเรา เมื่อทำห้องแรกที่ถือเป็นห้องตัวอย่างเสร็จ ก็เชิญศิษย์เก่ารุ่นอื่นมาดูและชักชวนให้มาร่วมกันสร้างให้กับน้องๆ อีกทั้งยังเป็นการจารึกชื่อผู้บริจาคไว้ในพิพิธภัณฑ์ อิเล็คโทรนิค ทำให้ศิษย์เก่าช่วยกันบริจาคทั้ง 66 ห้องเรียน 8 ห้องแล็ป โดยใช้เวลาเพียงปีเดียวก็จัดสร้างเสร็จ เป็น Smart Classroom แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่จัดสร้างโดยไม่ได้อาศัยงบหลวง แต่เป็นการรวมใจกัน

เมื่อทำงานหนักแล้ว สุขภาพก็ต้องรู้จักดูแลรักษา ต้องยอมรับว่าช่วงหนุ่มๆ ทำงานหนักบางวันแทบไม่ได้นอน เดินก้าวแรกถึงกับทรุดเพราะออกกำลังน้อย ทั้งๆ ที่ผมโตมาจากต่างจังหวัด มีร่างกายที่แข็งแรงเป็นต้นทุนเดิม เวลาจะวิ่งต้องถอดรองเท้าแตะเหน็บหลังแล้วจะวิ่งได้เร็วกว่า แต่เมื่อพอมาทำงานกลับอดหลับอดนอน จนเริ่มสุขภาพไม่ดี

โชคดีที่ภรรยาบังคับให้ผมเข้าชีวจิต ตอนแรกก็ไม่ยอมไป จนต้องทิ้งค่าสมัครไปฟรีๆ เพราะมีงานด่วน ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะลูกค้าของเราล้วนแล้วแต่มีการลงทุนมหาศาล ทุกนาทีมีค่า หากเราทิ้งเขา สุดท้ายเขาก็ต้องทิ้งเรา ทำให้ผมต้องเลือกที่จะทำงานก่อน แต่ภรรยาก็สมัครให้อีกรอบ คราวนี้บอกว่าถ้าไม่ไปโกรธกัน

แต่เมื่อไปแล้วผมกลับชอบและติดในวิถีชีวิตแบบชีวจิต เข้าคอร์สทุกๆ ปี ถึงแม้จะทำงานหนักแต่เมื่อรู้จักการดูแลชีวิตแบบชีวจิต สุขภาพก็แข็งแรงดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจารย์ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ให้ผมเข้าไปเป็นที่ปรึกษาเป็นสตาฟใกล้ชิดกับท่าน และผมก็มาตั้งฐานรำกระบองชีวจิตทุกเช้าวันอาทิตย์ ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

จากเดินก้าวแรกแล้วทรุด ก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆ ปฏิบัติแบบนี้อย่างสม่ำเสมอมาเรื่อยๆ โดยผมเป็นผู้สอน ซึ่งทำเต็มที่ทุกครั้งเพราะทำให้มีสุขภาพดีไปด้วย แล้วยังต้มน้ำอาร์ซีจากยอดข้าวธัญพืชนับสิบชนิด ไปแจกให้ได้ดื่มกัน ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อเป็นวิทยาทาน โดยยิ่งทำเราก็ยิ่งได้กับตัวเองด้วย หลายๆ คนจากที่เคยมีปัญหาด้านสุขภาพ ก็ค่อยๆ คลี่คลายจนกลับมาแข็งแรงได้ภายในเวลา 1-2 ปี จนเกิดความศรัทธา บอกต่อกันแบบปากต่อปาก ทำให้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ทุกเพศทุกวัยมากขึ้นๆ ใช้เวลารำกระบองครั้งละราวชั่วโมงครึ่ง เพราะผมจะสอนทำท่าไปพร้อมกับอธิบายถึงประโยชน์ของแต่ละท่า เพื่อจะทำให้คนที่มารำใหม่ๆ ได้เข้าใจ เนื่องจากมารำใหม่ๆ จะปวดเมื่อยมาก ต้องรู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ข้อควรระวัง มิเช่นนั้นเราเจอกันแค่สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หากเขาทำผิดแล้วไปทำต่อเอง อาจเกิดอาการบาดเจ็บ หรือท้อจนเลิกไปเลย ปัจจุบันก็ยังรำกันเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์ที่ศูนย์การค้าเอเวอร์นิว ถนนแจ้งวัฒนะ

ผมเป็นลูกผู้พิพากษารู้จักอดทน รู้จักสมถะ ผมค้นพบความสำเร็จจากตัวเอง เจอมาทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เมื่อตอนเรียนช่วงที่สนใจกิจกรรมมากการเรียนก็แค่พอไปได้ แต่เมื่อต้องเรียนให้จบ ตั้งใจใส่ใจเต็มที่ เราก็ทำได้ ทำให้เมื่อเรียนเนติบัณฑิตจึงสามารถจบภายในปีเดียว ตรงนี้แหล่ะที่ทำให้เข้าใจชีวิตว่า ไม่มีอะไรยาก หากเราทำเต็มที่ เราจึงมีพลังที่จะมุ่งมั่นในการทำงาน ต้องรู้จักตัวเราเองให้มากที่สุด เพื่อจะได้นำส่ิงที่ดีและไม่มีมาคอยเตือนสติให้กับชีวิต ทุกอย่างมีทางออก แต่เราต้องหามันให้เจอ ถ้าเชื่อแบบนี้แล้ว เราจะมีพลังในการหาทางออกนั้น ถ้าคนอื่นทำงานแค่ในเวลาแล้วไม่สำเร็จ เราก็ต้องทำให้มากกว่านั้น ถ้ายังไม่เจอคำตอบ ก็ต้องหาต่อไปอีก ส่วนใหญ่ผมจะแก้ปัญหาได้ตอนตีสองตีสามเป็นประจำ เพราะตอนนั้นสมองมีสมาธิ ไม่มีใครมากวน จึงทำงานได้ดี นั่นคือเคล็ดลับที่ผมบอกกับลูกน้องอยู่เสมอ แม้กระทั่งกับลูกสาวก็มีความมุ่งมั่นจากการได้ซึมซับ ได้เห็นชีวิตการทำงานของพ่อ

ผมเคยเป็นคนใจร้อน เมื่อเป็นนักศึกษามีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน ทำให้ได้เรียนรู้กับตัวเองว่าจริงๆ แล้วความใจร้อนมันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เราเสียใจที่เพื่อนต้องเข้าโรงพยาบาล จากตรงนั้นทำให้เราเย็นขึ้นเยอะ พยายามสะกดอารมณ์ การทำงานต้องใช้สมองก็ต้องรู้จักคุมอารมณ์ จนตอนนี้ภาพผมที่คนอื่นมองคือ เป็นคนเย็นมาก ไม่โต้ตอบกับใคร ทั้งนี้เพราะผมรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เหมือนกับภาษาของนิยายกำลังภายในที่มักชอบพูดว่า ใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ใครไม่ดีกับเรา เราก็ต้องทำดีกับเขา เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราก็ถอยห่าง เราคบได้กับทุกคน ต่างกันที่ระยะ ใกล้ มาก ถี่ ห่าง แล้วแต่การพิจารณาของเราว่าเขามีประโยชน์ไม่เป็นภัย

ถ้าเรามีอารมณ์ร้อน จะขาดสมาธิ ขาดปัญญา ดังคำพระสอน พอใจนิ่งแล้ว สติปัญญาก็มา ปัญหาต่างๆ ก็แก้ได้โดยง่าย ถึงแม้จริงๆ เราจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เมื่อรู้จักฝึก รู้จักควบคุม ก็กลายเป็นคนอารมณ์เย็นได้ครับ

0716int Exc 2

0716int Exc 3