คอลัมน์ในอดีต

แก้วใจจุลจอม : ลำน้ำเจ้าพระยา… ลำน้ำแห่งความวิปโยค (2)

ลำน้ำเจ้าพระยา…ลำน้ำแห่งความวิปโยค 2

ชาวบ้านบริเวณนั้นชาวเรือที่พายเรือเป็นกำลังเตรียมเรือเพื่อให้การช่วยเหลือ บรรดาข้าราชบริพารบนเรือที่ตามเสด็จต่างอยู่ในอาการตกตะลึงกับเหตุร้าย จนทำอะไรกันไม่ถูก

เวลานั้นเรือพระประเทียบของพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา แล่นนำล่วงไปก่อนแล้ว ความช่วยเหลือจึงขาดไปลำหนึ่ง

แต่อย่างไม่อยากเชื่อ!

พระยามหามนตรี สมุหราชองครักษ์ได้ออกคำสั่งฉับพลันดังลั่นว่า

ห้ามมิให้ใครเข้าไปช่วย พระองค์เจ้าหญิงสุนันทา ด้วยเป็นการขัดต่อกฎมณเฑียรบาล

จะมีใครรู้ว่าขณะนั้น ภายในเก๋งเรือพระองค์เจ้าหญิงสุนันทา ผู้เคราะห์ร้ายกำลังไขว้คว้าหาพระธิดาองค์น้อยที่หลุดลอยจากพระหัตถ์อย่างสุดความสามารถ อีกทั้งในพระครรภ์ยังมีพระโอรส 5 เดือนเศษ ซึ่งพระองค์เจ้าหญิงสุนันทา พระองค์ทรงว่ายน้ำเก่ง แต่ด้วยพระวรกายมีพระครรภ์ และทรงตกพระราชหฤทัยและอ่อนแรง และมิได้ทรงว่ายน้ำหนีออกจากเก๋งเรือที่คว่ำอยู่ด้วยความห่วงใยพระราชธิดา ดังในพระสุบิน จนในที่สุดพระองค์เจ้าหญิงสุนันทาผู้น่าสงสาร ก็สิ้นลมไปในที่สุด กับพี่เลี้ยงแก้วทาสผู้ซื่อสัตย์ ข้าบาทผู้มีความจงรักภักดี นอนสิ้นใจเคียงพระบาทอย่างน่าเศร้าสลดใจเป็นที่สุด ซึ่งในขณะนั้นพระราชธิดามิได้อยู่ในเก๋งเรือ ทรงหลุดลอยออกมาจากเก๋งเรือ ชาวบ้านสามัญชนต่างทนดูไม่ได้ ต่างพยายามที่จะเข้าไปช่วย

แต่! พระยามหามนตรี ยืนชักดาบตวาดออกคำสั่ง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้เก๋งเรือพระที่นั่งขององค์เจ้าหญิงสุนันทาโดยเด็ดขาด ชาวบ้านต่างพากันงงงวยในคำสั่ง ชาวบ้านสามารถช่วยผู้อื่นได้หมดยกเว้น พระองค์เจ้าหญิงสุนันทา และพระราชธิดา พระพี่เลี้ยงแก้ว ผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น

ท่ามกลางผู้คนมากมายกลางลำน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแห่งความวิปโยคในครั้งนั้น แต่พระองค์เจ้าหญิงสุนันทาผู้น่าสงสารมิอาจพ้นเงื้อมมือของมัจจุราช มิอาจรอดพระชนม์ชีพได้ เพราะคำสั่งที่อ้างว่าเป็น “กฎมณเฑียรบาล” มิได้ใส่ใจที่จะช่วยพระมเหสีอันเป็นที่รักสุดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5)

กว่าจะออกคำสั่งให้ช่วยกันพลิกเรือเก๋งพระที่นั่งก็กินเวลาเนิ่นนานยากที่มนุษย์ที่ไหนจะทนได้
ข้าหลวงส่วนพระองค์ขององค์เจ้าชายเทวัญอุไทยวงศ์ (พระเชษฐาของพระองค์เจ้าหญิงสุนันทา) มีนามว่า “เถอะ”ผู้มีความชำนาญในการดำน้ำและด้วยความจงรักภักดีเปี่ยมล้น เป็นผู้งมหาพระศพของพระราชธิดาองค์น้อยขึ้นมาได้

สถานการณ์ขณะนั้น พระยามหามนตรี สั่งให้เรือกลไฟราชสีห์กลับลำล่องไปกราบทูลเรื่องราว ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ซึ่งในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)ประทับในเรือพระที่นั่งโสภณภควดี พร้อมด้วยสมเด็จพระองค์น้อย กรมหมื่นนเรศวรวรฤทธิ์ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ พระองค์เจ้าดิศวรกุมารพระองค์เจ้าสวัสดิ์โสภณ หัวหมื่นพระนายไวยสรรเพช และหลวงนายฤทธิ์ ส่วนเรือตามเสด็จอันเป็นเรือกลไฟล้วนก็มี เรือพระที่นั่งรองเวสตรี เรือกรบุทมาสา เรือไรซิ่งซัน เรือบางปะอินอุดมทวีป เรือทิศนากร

ขบวนเรือพระที่นั่งแล่นมาถึงตลาด ใกล้จะเข้าอ้อมเกร็ด จึงพบเรือกลไฟราชสีห์ แล่นสวนมาเมื่อหยุดเข้าเทียบเรือพระที่นั่งแล้ว จมื่นทิพเสนาปลัดวังซ้ายก็ได้เข้าเฝ้ากราบทูลอย่างเสียขวัญว่า … “เรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าหญิงสุนันทา ล่มลงที่ตำบลบางพูด พระราชธิดา เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ สิ้นพระชนม์แล้ว”

เมื่อกราบทูลเสร็จ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ตกพระทัยจนพระพักตร์เผือดลงทันที ทรงประทับนั่งอึ้งก่อนจะมีกระแสรับสั่งให้ไปตำบลบางพูดโดยด่วน

พระองค์มิได้ทรงพระกริ้วหรือซักไซร้ทันที เนื่องจากทรงบังเกิดพระอาการทุกขเวทนาอย่างหนักหนาสาหัส ทรงประทับนิ่ง พระวรกายตั้งตรง มิได้ดำรัสใดๆกับผู้ใดอื่นเลย แต่ทอดพระเนตรไปเบื้องหน้าราวกับพระราชหฤทัยไปยังที่เกิดเหตุ เรือพระที่นั่งแล่นด้วยความเร็วเต็มที่ เพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงตำบลบางพูด ภาพที่ปรากฏต่อพระเนตรคือเรือพระประเทียบจอดทอดอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระบรมราชโองการ ให้เรือพระที่นั่งเข้าจอดเทียบเรือปานมารุต โปรดเกล้าให้กรมหมื่นอดิศรอุดมเดชและพระยามหามนตรีเข้าเฝ้า ทรงซักไซร้ไตร่ความด้วยพระองค์เอง ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ทรงดำริว่ามีเพียงพระราชธิดาพระองค์เดียวที่สิ้นพระชนม์ ยังมิมีใครกล้ากราบทูลเหตุการณ์ที่พระองค์เจ้าหญิงสุนันทาได้สิ้นพระชนม์แล้วเช่นกัน

ซักไซร้ไล่เลียง จนในที่สุดพระองค์จึงได้ทรงทราบว่าพระองค์เจ้าหญิงสุนันทาอันเป็นที่รักของพระองค์ได้จากไปพร้อมกับพระราชธิดาองค์น้อย และพระราชโอรสในพระครรภ์แล้ว

แม้แต่หลวงราโช แพทย์หลวงจะแก้ไขเต็มกำลังก็มิอาจจะแก้ไขให้พระนางฟื้นคืนชีพได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงตกพระทัยถึงกับประทับนิ่งอึ้งมิตรัสใดๆ พระพักตร์ซีดเผือด มิอาจทรงพระวรกาย ต้องเสด็จขึ้นเรือปานมารุตประทับบนพระที่นั่ง แล้วรับสั่งให้แพทย์หลวงขึ้นแก้ไขพยาบาลอีกครั้ง อย่างสุดกำลัง เพราะพระวรกายขององค์เจ้าหญิงสุนันทายังคงอุ่นอยู่ แต่ในที่สุดพระนางอันเป็นที่รักก็มิอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

น้ำพระเนตร แห่งกษัตริย์ เจ้ามหาชีวิต ผู้ยิ่งใหญ่ก้องโลก ไหลรินสุดจะทนทาน พระองค์ทรงเสียพระทัยอย่างหนักสุดที่จะบรรยาย

และด้วย “ความรักอันยิ่งใหญ่”ของพระองค์ที่มีต่อพระนางอันเป็นที่รัก ยังไม่หมดความหวังในพระราชหฤทัย ทรงให้ชาวบ้านชาวเรือที่มีความรู้แบบชาวบ้านๆ แก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยในดวงพระหฤทัยทรงภาวนาหวังว่าพระนางอันเป็นที่รักของพระองค์จะมีโอกาสฟื้นคืนชีพ…

พระวรกายขององค์เจ้าหญิงสุนันทาไม่ไหวติง พระองค์…สิ้นหวังเพราะนางอันเป็นที่รัก จากไปแล้วจริงๆ

ดวงพระเนตรคลอด้วยน้ำพระอัสสุชน ด้วยความอาลัยรักและเวทนา พระมิ่งขวัญมเหสี ที่พระองค์มิทันมาเห็นพระทัยได้ทันท่วงที พระหัตถ์สั่นสะท้าน ข้างพระวรกายยังมีพระราชธิดาองค์น้อยประทับกายอยู่เคียงข้างกัน ในพระอริยะบถราวกับบรรทมหลับ ในพระครรภ์ยังมีหน่อเนื้อพุทธราชกูรซึ่งพระองค์หวังว่าจะเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์

เป็นความโทมนัส แสนใหญ่หลวงนัก!

พระองค์ใช้พระหัตถ์ลูบเส้นเกษาของพระนางอันเป็นที่รักซึ่งยังเปียกชุ่มน้ำ ข้อพระกรยังคงสวม “นาฬิกาฝั่งเพชร” และสวม “พระธำรงค์” ประดับนิ้วก้อยทั้งสองพระกร อันเป็นของขวัญวันประสูติพระราชธิดา ยิ่งทำให้สะเทือนพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)เป็นยิ่งนัก พระองค์ทรงรับรู้ในพระราชหฤทัย ว่าพระนางอันเป็นที่รัก มีแต่ความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ สมเป็นพระปิยมเหสีตลอดมา ซึ่งหาผู้ใดเปรียบปรานไม่ ความภักดีนี้พระองค์ทรงตระหนักดีว่านางอันเป็นที่รักมีให้พระบรมราชสวามีตลอดกาล

เมื่อพระองค์ทรงสิ้นหวัง ในการรอคอยคนมาช่วย ให้พระนางฟื้นคืนชีพ จึงรับสั่งให้กรมหมื่นนรเศวรวรฤทธิ์จัดเรือกลไฟขึ้นไปตามเรือพระที่นั่งพระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา ซึ่งแล่นขึ้นไปแล้ว ให้กลับมาเพื่อจะได้จัดขบวนเรือเชิญพระศพล่องกลับพระนคร

ณ. เวลานั้นท้องน้ำเจ้าพระยาเงียบเหงาเวิ้งว้าง มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นพิลาปรำพันลั่นระงมไปทั่วลำน้ำ หมู่ข้าหลวงชาววังชาวบ้านต่างร่ำไห้ ด้วยว่าพระนางเป็นที่รักของหมู่ทวยราษฎร์ทั้งหลาย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) มีกระแสรับสั่ง ให้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์จัดเรือพระที่นั่งเวสาตรี เป็นเรือรับพระศพอัครมเหสี และพระราชธิดา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดพระศพไว้ ณ ห้องซาลูน อันเป็นห้องประทับส่วนพระองค์

เรือพระที่นั่งเวสาตรี แล่นกลับสู่พระนครอย่างโศกเศร้าสลด ตรงข้ามกับขบวนเรือยามเช้า เรือพระที่นั่งแล่นผ่านความมืดแห่งราตรีสู่ตำหนักแพ ประมาณ 2 นาฬิกาของวันใหม่อย่างเงียบเชียบ ใกล้รุ่งสางพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่งไปประทับ ณ ตำหนักแพ เมื่อรุ่งสางของวันใหม่ ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน 2423 โปรดเกล้าให้ กรมหมื่นนเรศวรฯกับพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ และพระองค์เจ้าสาย ช่วยกันทรงเครื่องพระศพและเชิญพระสุคนธ์มาสรงพระศพ ในห้องซาลูนบนเรือพระที่นั่งเวสาตรีนั้นเลย

โดยธรรมเนียมราชประเพณีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเป็นพระองค์แรกที่จะเป็นผู้ทำการสรงน้ำพระศพพระอัครมเหสี พระราชธิดาและพระราชโอรสในพระครรภ์

หากในยามนั้นดวงพระราชหฤทัยได้แตกสลายแล้ว ทรงโศกเศร้าระทมทุกข์ จนมิสามารถทนทอดพระเนตรดูพระศพของพระนางอันเป็นที่รัก พระราชธิดา และพระราชโอรสที่อยู่ในพระครรภ์ สามชีวิตที่ต้องสูญเสียไปอย่างไม่มีวันกลับ พระองค์มิอาจระงับความเสียพระทัยได้ ความทุกขเวทนาอันแสนเศร้าสาหัสในครั้งนั้น สุดจะบรรยายให้ผู้ใดได้รับรู้ได้

พระองค์จึงโปรดเกล้าให้พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ พระเชษฐาของพระองค์เจ้าหญิงสุนันทา เป็นผู้เชิญพระสุคนธ์มาสรงน้ำพระศพพระอัครมเหสี พระราชธิดา และพระราชโอรสที่อยู่ในพระครรภ์ 5 เดือน

ความโศกเศร้าครั้งนี้ใหญ่หลวงนักสำหรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เหมือนเรื่องราวหลับฝันไป ซึ่งแทบไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้น นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มหาศาล เพราะขึ้นชื่อว่าพระมหากษัตริย์แล้ว หากไม่หนักหนาจริงๆจะไม่มีใครได้แลเห็นน้ำพระเนตรหลั่ง แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้คงไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะทานทนได้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านวนิยาย!เสียอีก

คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป็นคนขีดโชคชะตา
สร้างฉันและเธอให้มา ให้ได้พบเจอกัน
ให้ฉันได้มีโอกาส ลิ้มรสในความชื่นบาน
ให้เรามีกัน มีวันเวลาที่ดี
และเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป็นคนพรากเราเช่นกัน
ให้เวลาเพียงแค่นั้น กลับต้องเสียเธอไป
ฉันรู้ว่าไม่มีหวัง จะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย
จะทำยังไงก็คงไม่มีหนทาง
หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไป จะเป็นยังไง
ชีวิตคงไร้ความหมาย และเหมือนไร้พลัง
ร่างกายที่เคยอดทน ก็คงไม่มีกำลัง
ไม่มีความหวังให้ฉันได้ชื่นหัวใจ
แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมา มองไปไม่เจอเธอ
แค่นึกก็ทำให้เพ้อ หวั่นและไหวในใจ
ถ้าเราจะต้องจากกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
คงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะต้องเสียใจ
เสียใจจนตาย…

มณีจันทร์ฉาย