ตอนที่ 48 หน้าสุดท้าย
๔๘.หน้าสุดท้าย
พระนิรันตระเฝ้าบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่านั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน และคิดเสมอว่าจะต้องถ่ายทอดพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับชาวบ้านริมหนองน้ำทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชาวดีที่พระนิรันตระอยากให้เข้าใจถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะตั้งแต่เข้าพรรษานี้มา ราชาวดีที่เคยผ่องใสร่าเริงมีแต่ความหมองเศร้าเมื่อยายเอมมาจากไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้ผ่านชีวิตของพระนิรันตระมาหมดแล้ว และแทบจะเอาชีวิตไม่รอดก็ได้ผ้าเหลืองนี่แหละเป็นเกราะคุ้มครองป้องกัน ทำให้มีชีวิตเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง แพเอ๋ย… “ข้าเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไรในการพลัดพรากจากสิ่งที่รักในครั้งนี้ เจ้าต้องผ่านห้วงเหวแห่งทุกข์ไปได้ด้วยสติปัญญาของเจ้าเองนะแพ”
…โยมทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้วล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในทางความเป็นมิตรบ้าง ศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามวิบากกรรมของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต อดีตกรรม ถ้ากรรมดีเสวยอยู่ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่วย่อมลบล้างอดีตกรรม กรรมแห่งอกุศลวิบากตน ปัจจุบันสร้างกรรมดีย่อมผดุง
“เรื่องกฎแห่งกรรมถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจัตตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้อง
ทำเอง รู้เองแล้วถึงจะเข้าใจ อย่างโยมราชาวดีกำลังทุกข์โศกเศร้าที่ยายเอมจากไป แต่กฎของธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปในที่สุด เราก็ต้องเข้าใจ เมื่อถึงเวลายังไงก็ต้องจากกัน จะจากเป็นหรือจากตายเท่านั้น เราก็ต้องฝึกทำใจและผ่านทุกอย่างไปให้ได้ ใช้สติและปัญญา อย่างโยมที่มาปฏิบัติธรรม ถือศีล ในวันเข้าพรรษานี้ ผลบุญก็จะหนุนส่งตัวเราเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้องที่เราแผ่เมตตาไปให้ ราชาวดีก็แผ่เมตตาให้กับยายเอมที่เปรียบเสมือนแม่ที่เลี้ยงดูมา ยายเอมก็ได้รับผลบุญมีความสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ เมื่อยายเอมได้รับผลบุญจากราชาวดีส่งขึ้นไป ยายเอมก็ดูแลคุ้มครองได้เช่นกัน อันนี้อาตมาเปรียบเทียบให้ฟังซึ่งมนุษย์เราวันหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไปเหมือนยายเอมนั่นแหละ”
พระนิรันตระเน้นไปที่ราชาวดี เหมือนหยั่งรู้ถึงวาระสุดท้ายที่จะต้องจากลาจากกันในภพชาตินี้แล้ว
“เจ้าค่ะหลวงตา”
ราชาวดีเอามือปาดน้ำตา
“วดีและเพื่อนๆ จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และหลวงตา วดีจะทำให้ได้ หลวงตาเจ้าค่ะ วดีขออนุญาตบวชชีพราหมณ์กับเพื่อนสองสามคนเพื่อปฏิบัติธรรมและรับใช้หลวงตาในป่านี้เลยได้ไหมเจ้าคะ”
“ อาตมาไม่ได้ปฏิเสธนะราชาวดี แต่อาตมาว่าลองอยู่สักพรรษานี้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่านะโยม เพราะในป่าไม่มีความสะดวกสบายเหมือนบ้าน จะได้เป็นการทดสอบความมุ่งมั่น ไว้ค่อยว่ากันอีกทีดีไหมโยมราชาวดี เอ้างั้นวันนี้ช่วยกันทำบายศรีพญานาคถวายเป็นพุทธบูชาในวันเข้าพรรษาพระจันทร์เต็มดวง อาตมาจะได้มาสวดมนต์ข้ามคืนร่วมกับโยมที่ปฏิบัติกันทั้งหมดเลย”
เสียงผู้มาปฏิบัติธรรมต่างเปล่งวาจา สาธุ สาธุ
ค่ำคืนของวันพระจันทร์เต็มดวงวันเข้าพรรษา ผู้มาปฏิบัติพร้อมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น สวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ สมาธิข้ามคืน แสงจันทร์ในยามค่ำคืนนี้งดงามราวภาพวาดส่องแสงทอประกายสีเงินสุกใส ในยามดึกสงัดได้ยินเพียงเสียงสายลมพัดโชย จิ้งหรีดเรไรเร่าร้อง และลำธารน้ำไหล ทุกคนที่มาปฏิบัติกำลังดิ่งกับการเข้าสมาธิด้วยความสงบท่ามกลางการคุ้มครองของพระนิรันตระ และเหล่าเทพเทวดาที่ซึ่งมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วย ผ่านข้ามคืนไปแล้วพระนิรันตระจึงกล่าวกับผู้ปฏิบัติให้ค่อยๆลืมตาเพื่อถอนสมาธิ ทุกคนทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย นำความปิติให้แก่พระนิรันตระเป็นอย่างมาก
“เอาล่ะโยม ดึกมากแล้ว สวดมนต์พร้อมกันอีกครั้งแล้วจะได้พักผ่อนกัน”
………………………………………….
ตลอดระยะเวลาเข้าพรรษา ๓ เดือน ผู้ปฏิบัติต่างเคร่งครัดตั้งใจฟังพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิรันตระหยิบยก โดยเฉพาะราชาวดีที่มุ่งมั่นเป็นพิเศษว่าจะไม่ออกจากการครองผ้าขาวบริสุทธิ์ของชีพราหมณ์ ใกล้ออกพรรษาแล้วราชาวดีไม่ลืมคำถามที่จะขออนุญาตบวชต่อจากพระนิรันตระพร้อมกับผู้ปฏิบัติอีกสองสามคนที่อยากอยู่ปฏิบัติต่อกับราชาวดี เพราะเห็นหนทางความสุขสงบโดยแท้จริง
“หลวงตาเจ้าคะ นี่ใกล้ออกพรรษาแล้ว วดีขออนุญาตพร้อมผู้ปฏิบัติสองสามคนอยู่ปฏิบัติต่อและรับใช้หลวงตาได้ไหมเจ้าคะ อีกอย่างวดีก็ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเห็นภาพเก่าๆที่วดีเคยอยู่กับยายสองคน หลวงตาจะอนุญาตไหมเจ้าคะ”
พระนิรันตระที่ซึ่งสังขารก็ร่วงโรยไปตามกาลและเวลา กำหนดในใจ ศรัทธาของราชาวดีแรงกล้ามากสมควรอนุญาต และน่าจะถึงเวลาที่ราชาวดีจะต้องปฏิบัติต่อและดูแลที่นี่ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมต่อไปข้างหน้า
“โยมผู้ปฏิบัติทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหมว่าหลายคนยังอยู่ปฏิบัติต่อในป่าแห่งนี้ได้ อาตมาขอบอกว่าอาตมายินดี สาธุ สาธุ พร้อมกัน อาตมายกที่แห่งนี้ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของพวกเราทุกคนต่อไป”
“อ้าว พระคุณเจ้า จะไปไหนขอรับ”
“ใช่หลวงตาจะไปไหนเจ้าคะ”
“ เปล่าหรอกโยม อาตมายังอยู่นี่ และจะอยู่กับโยมตลอดไป”
มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ราชาวดีอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนความรู้สึกพลัดพรากอีกแล้ว…รู้สึกเศร้า กลิ่นดอกลั่นทมนี่นาในป่านี้มีต้นลั่นทมด้วยหรือทำไมเราไม่เคยเห็นไม่เคยได้กลิ่น แต่นี่เป็นกลิ่นดอกลั่นทมแน่นอน…สายลมพัดแผ่วมาจากทางเหนือ…ไกลโพ้น…โน้น
หลังจากออกพรรษาแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน มีแต่ราชาวดีและเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นมา ๔-๕ คนที่อยู่ปฏิบัติต่อ
ใกล้รุ่งสาง…พระนิรันตระ ได้ยินเสียงแผ่วเบา
…………………..ถึงเวลาของเจ้าแล้วนิรันตระ
พระนิรันตระสะดุ้งตื่นจากภวังค์ลุกขึ้นเปิดกลดทันที ภาพที่มองเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังหันหลังกลับเดินออกไปอย่างรวดเร็ว พระนิรันตระเห็นเด็กน้อยฝาแฝดชายหญิงวางอยู่บนเบาะสีขาวบริสุทธิ์หน้ากลดนั่นเอง
พระนิรันตระถึงกับอุทาน…ลูกพ่อ!…เราได้พบเจอกันแล้ว พระนิรันตระอุ้มเบาะสีขาวบริสุทธิ์ของสองเด็กน้อยเข้ามาในกลดที่พักพร้อมกับกำหนดจิตส่งผลบุญให้ ลูกทั้งสองได้รับบุญเท่าๆกับการปฏิบัติทั้งหมด เท่าที่ลมหายใจจะมีให้ลูกน้อยทั้งสองได้ จากนั้นพระนิรันตระก็หยิบแหวนก้อยออกมาจากย่ามแล้ววางไว้บนเบาะสีขาวข้างตัวเด็กน้อยทั้งสอง ข้าทำสำเร็จแล้วแพเอ๋ย เจ้าจงทำหน้าที่ต่อจากข้าดูแลลูกทั้งสองของเราให้ดีนะ ราชาวดี…ข้าลาก่อน ลั่นทมโชยกลิ่นหอมเย็นมาแต่ไกล พระนิรันตระค่อยๆเอนตัวลงหลับตาสงบนิ่งมือทั้งสองแนบอยู่บนอก..
“จำปาๆเห็นหลวงตาไหม วันนี้ไม่เห็นออกมาฉันเช้าเลย”
“ไม่เห็นเลยวดี ลองให้ปิ่นดูในกลด ไม่สบายหรือเปล่า”
“อุแว้ อุแว้”
..เสียงเด็กร้องจ้า…
“เสียงเด็ก ในกลดหลวงตา ปิ่นเข้าไปดูเร็ว
ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้น
พระนิรันตระ นอนหลับตานิ่งข้างเด็กน้อยสองคนที่กำลังส่งเสียงร้อง
“หลวงตาๆ ปิ่นเขย่าตัวหลวงตา ปากร้องเรียก วดี จำปา เร็วๆ หลวงตาๆ”
“…เด็กสองคนนั่น หลวงตาๆ หลวงตาๆ”
พระนิรันตระรวบรวมพลังครั้งสุดท้าย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“เจ้าจงดูแลเด็กสองคนนี้ให้ดี……”
พระนิรันตระมิอาจบอกอะไรราชาวดีไปมากกว่านี้ และมิอาจจะปิดกั้นน้ำตาไว้ได้มันเป็นน้ำตาที่ซ่อนไว้ด้วยความเจ็บปวดและความปิติสุขไปด้วยพร้อมๆกันในวาระสุดท้ายของพระนิรันตระ สิ่งที่ก้องอยู่ในโสตประสาท
เจ้าชายสิทธัตถะเคยกล่าวไว้ว่า
ความรักที่ประกอบด้วยเมตตา หนาแน่นยิ่งกว่าน้ำ
เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวัน
มันเกิดขึ้นที่แผ่นของดวงตา
ทำให้หัวใจอิ่มเอิบ
ทำให้คำพูดน่าฟัง…
ราชาวดีสะอื้นแผ่วเบา น้ำตาไหลริน เธอเอื้อมมือทั้งสองประคองเบาะที่มีเด็กน้อยชาย
หญิงขึ้นมาแนบอก แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องพาดผ่านลอดกลดกระทบกลางแหวนก้อยที่วางข้างตัวเด็กน้อยทั้งสอง เป็นแสงประกาย วูบวาบ ราชาวดีวางเบาะลูกน้อยลง หยิบแหวนค่อยๆบรรจงสวมที่นิ้วก้อยซ้าย ทันใดนั้น…เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องป่า จำปากับปิ่นผวาเข้าหากอดกันกลมแน่น เด็กน้อยทั้งสองส่งเสียงร้องจ้า….
ราชาวดีอุ้มเบาะลูกน้อยทั้งสองมาแนบอกอีกครั้ง สะอื้นไห้…ไปกับสายฝน ปิ่นกับจำปาก็
พลอยน้ำตาไหลไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว ฝนกระหน่ำซ้ำอีกแบบไม่มีวี่แววมาก่อน
ราชาวดีลูบหัวลูกน้อยทั้งสอง เสียงหยุดนิ่ง ฝนหยุดตกฟ้าหยุดคำราม ความทรงจำครั้ง
ก่อนที่ฝั่งลึกแลถูกบันทึกอยู่หัวใจ ย้อนอดีตให้เห็นภาพเด่นชัดทุกเรื่องราว ในความพร่ามัว สายลมพัดแผ่ว…
เราจากกันน้ำตา แม้แต่ดาวบนฟากฟ้ายังร้องไห้
มีเพียงโซ่สายใย คล้องรักเราไว้นิรันดร
ไปทำหน้าที่ ราชาวดี
จบ.
มณีจันทร์ฉาย