อมยิ้มริมกรีน

โบว์ขาว/ชูสามนิ้ว เป็นเพียง “ยันต์” ป้องกันตัวของเด็ก

เพื่อนผมคนหนึ่ง เป็นทายาทเจ้าของโรงเรียนสตรี มีชื่อแห่งหนึ่ง ผู้ก่อตั้งก็มีฐานันดรเป็นเชื้อพระวงศ์ จึงมีความรอแยลลิสต์สูงมาตลอด ปลูกฝังนักเรียน รู้รักชาติ ศาสน์กษัตริย์เป็นฉัตรไชยมาโดยตลอด มั่นใจในจารีตปฏิบัติของโรงเรียนมาก ลูกสาวใครจบโรงเรียนนี้ เป็นความภูมิใจของพ่อแม่..ลูกจบที่นี่

ไม่กี่วันมานี้ เพื่อนคนนี้ก็เล่าผ่านไลน์กลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นว่า..โรงเรียนกู ก็มีนักเรียนผูกโบสีขาว ชูสามนิ้วว่ะ

เด็กๆ กลุ่มนี้ ถูกเรียกมาอบรม..ครูอ่านบทความในหนังสือของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่กล่าวถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ พาประเทศไทยอยู่รอดมาได้ นับแต่บรรพกาล จนรัชสมัย ในหลวงรัชกาลที่9 บนสวรรค์  ให้เด็กกลุ่มนั้นฟัง

ผมบอกไปว่า..ไม่ได้ผลหรอก เพราะ เด็กๆ มันไม่ฟัง มันมีดินน้ำมันอุดหู

เด็กที่ไหลไปกับแรงบันดาลใจในเรื่องประชาธิปไตย ชูสามนิ้ว มันปิดหูในเรื่องอดีต  ต่อให้ครูพูดปราม ปากฉีกถึงหู มันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  เพราะ“กลุ่มคนที่เสี้ยม” เอาประโยชน์จากเด็ก” มันเตรียมการ เหมือนเสกมนต์ อุดหูเด็กหมดแล้ว ไม่งั้น ไม่มีม้อตโต้..ต้องจบในรุ่นเรา.. หรอก

อย่าว่าแต่ครู ที่เป็น”คนนอก”เลย บางที พ่อแม่บุพการีพูด  เด็กคงไม่ฟังแล้วก็ได้

ที่จริงแล้ว  “แก่น”ที่อุบัติของเด็กในโรงเรียนนั้น มันก็แค่พฤติกรรม อารมณ์ rebel นี้อยู่ในตัว อยากแสดงตัวตน อยากต่อต้านกฎกติกา ที่เด็กนักเรียนทุกยุค ก็เป็น

สมัยคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นนักเรียน ปลอดพิษการเมือง เด็กผู้ชาย ริอ่านสูบบุหรี่ โดดร่มหนีโรงเรียน คอยวิ่งหนีสารวัตรนักเรียน เด็กผู้หญิง ขอสวย ดัดผมนิดๆ ติดกิ๊ปเก๋ๆ พูดจา กูมึง แล้วคอยลุ้น จะรอดตา ครูเวรตรวจหรือเปล่

เด็กไม่รู้หรอกว่า สารอะดรีนารีนหลั่ง มันเป็นยังไง แต่รู้ว่า มันเร้า มันตื่นเต้น และ เสพติดได้ หลายคนจึงแหกกฎแบบ born to reble เป็นตัวแสบของครูอาจารย์ แต่เป็น ฮีโร่ของเพื่อนๆ เพราะ เอ็งใจๆว่ะ  ก็แค่นั้นเอง

ไอ้กลุ่มคนเสี้ยมอ้างประชาธิปไตยวันนี้  รู้ว่า เด็กๆอ่อนไหวง่าย เชื่อไอดอล ก็เจาะ”จุดอ่อน”ตรงนี้ มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป้าหมายทั้งริดรัฐบาล ทั้งล้มเจ้า..ด้วยการชูธง ประชาธิปไตย . ก็ไม่ต่างกับนักการเมือง เลี้ยง “หัวคะแนน”  จ่ายเงินให้ทำงาน

แต่เด็กไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เพียงแค่ “เสี้ยม” จิตวิทยาลุ่มหลงในไอดอล ในวัย อยากแสดงตัวตน..ก็ใช้งานเด็กได้ฟรีแล้ว

ยิ่งครูในโรงเรียน มีปฏิกริยา ออกอาการ แสดงถึง ความไม่พอใจ ที่เห็นการกระทำนั้น “นอกคอก” ก็ยิ่งทำให้ “ลูกโป่งแห่งความอหังการ”ในความคิดของเด็กพองขึ้น ต่อต้านมากขึ้น แล้วรู้สึกว่า..นี่คือวีรกรรม  ตัวเองคือ ฮีโร่..แบบอย่างของเพื่อนๆ ที่ยังไม่กล้าแสดงออก

เด็กเหล่านี้ ก็จะเป็น “หัวโจก” โบกสะบัดธง..มาเรามาร่วมกัน  เด็กนักเรียนอย่างเรา ก็ร่วมสร้างประชาธิปไตยได้ มันจึงเกิดปรากฏการณ์ โบว์สีขาว ชูสามนิ้วหลังเคารพธงชาติ พรึ่บในสังคมเด็กนักเรียน

เด็กหัวอ่อน ก็ไปตามเพื่อนซิ่ครับ..ไม่ว่าชูสามนิ้ว ไม่ว่าติดโบว์ขาว

เด็กกลุ่มนี้ น่าสงสาร  เพราะ เป็นเด็กรักพ่อแม่   อยู่บ้าน ก็เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนโลกเก่า ยังรักเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ เห็นตัวอย่างในประวัติศาสตร์มามากมาย ว่าความพินาศของชนชาติ/แผ่นดิน เกิดจากอะไร

เด็กพวกนี้ อยู่บ้านก็ “เล่น” บทหนึ่ง  ออกจากบ้าน มาโรงเรียน ก็ต้อง”เล่น”อีกบทหนึ่ง

ต้องติด โบว์ขาว ชูสามนิ้ว เพื่อเข้ากลุ่ม ไม่โดนบูลลี  กันโดนเหยียด ถูกหยาม ชีวิตได้แค่เศษสลิ่ม กระจอก ใจมด สัตว์เลี้ยงของครูไดโนเสาร์ 

ในหัว จึงก็แค่ ต้องตามเพื่อนเพื่อ ให้อยู่รอดอยู่ร่วมได้ ..  หาได้ใช่ เรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยฝังหัวใจแต่ประการใด

พวกเขาก็มีเพียง ยันต์ โบว์สีขาว  กับ ชูสามนิ้ว..ในการดูแลตัวเอง มิใช่หรือ?

เด็กดีๆเหล่านี้ จะไปอยู่ในจุดที่มีความมั่นคงทางจิตใจที่ไหน..ถ้า ที่บ้าน พ่อแม่โมโห มีโทสะ กับโบว์สีขาว ที่โรงเรียน ครูเขม็งขึ้ง เห็นเป็นพวก “นอกคอก” เชื่อคนอื่น เร่งทำแผ่นดินแตกแยก มากกว่าเชื่อสถาบันศึกษา เชื่อครูที่สั่งสอนมาแต่เด็ก

เด็กกลุ่มนี้มีมากมาย ทุกแห่งทุกโรงเรียน ทุกบ้าน ที่ ครูอาจารย์โรงเรียน บุพการี ต้อง โอบอุ้ม ปลอบประโลมและดูแลลูกศิษย์และลูกหลาย ด้วยความเข้าใจ

ครูต้องอดทน อดกลั้น อย่าได้มีภาษากาย ภาษาใจ แสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวลูกศิษย์ ครูไม่มีสิทธิ์ด่าทอ บริภาษ เพียงเห็น ลูกศิษย์ ติดยันต์ โบว์ขาว ชูสามนิ้ว จะทำได้โดยส่วนตัว ก็เพียง ความเสียใจ ปวดใจ ผิดหวังที่เห็นภาพเช่นนั้น จากลูกศิษย์ที่สอนกันมาแต่ตัวน้อยๆ เท่านั้น

ครูเพียงให้ความเข้าใจ ปลอบประโลม ดั่งลูกศิษย์ ที่เคยหกล้มร้องไห้ในวัยเดียงสา  ความอาทรโยงใย ระหว่าง ครูกับศิษย์ ยังมีอยู่ไหม สำรวจใจทั้งตัวเอง ทั้งถ่ายทอดให้ลูกศิษย์รู้ว่า.. ครูยังรักพวกเธอนะ

เด็กต้องการแสดงออก ก็ให้โอกาสเต็มที่ไปเลย จะได้ถะถั่งความในใจออกไปบ้าง

แต่มิใช่เด็กฝ่ายหัวก้าวหน้า หลงใหลไอดอลประชาธิปไตย ที่จะ”เอาแต่ได้” ฝ่ายเดียว

ในเมื่อ ยังมีเด็กที่ยังรักพ่อแม่ รักครู รักโรงเรียนดังเป็น อีกมากมาย ที่เรียนเก่ง ที่พูดดีฉะฉาน กล้าแสดงออก แสดงความเป็นผู้นำ เป็นฮีโร่ ก็ความสิทธิ์ แห่งตัวตน ออกมาถะถั่งความในใจเช่นกัน

ไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน แต่มาใช้สติปัญญา มาถก ในระบบของ การโต้วาที  เชิญสมาคมครูผู้ปกครอง เชิญพ่อแม่บุพการีนักเรียนมาร่วมฟังในหอประชุม หรือ เด็กทั้งโรงเรียนฟัง เพื่อให้เกิดปัญญาด้วยฟังจาก “ตัวแทน” ความคิด ที่บริสุทธิ์ ที่ทุกฝ่ายย่อมอยู่ในกฎกติกา ถ้าก้าวร้าวข้ามเส้น ก็คือ อันธพาล  ถ้าประชาธิปไตยในความคิดเป็นเช่นนั้น ก็ใช้ไม่ได้แล้ว

ถ้าค่อยๆปอกเปลือกออกมาจากการครอบงำความคิด จะพบว่า  การปิดหูไม่รับรู้อดีต อนาคตก็ไม่รับผิดชอบ มีขีดจำกัด ..ฟ้าสีทองผ่องอำไพ..ไม่เคยมี   ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง..แต่ไม่ใช่ ต้องจบที่รุ่นเรา..ดังประกาศิต สัจธรรมชีวิตก็คือ วิถีทุกอย่างเป็นไปตามครรลองแห่งกาลเวลา..

เมื่อค่อยๆปอกเปลือกครอบงำออกไป เด็กก็จะกลับมาเป็น เด็กคนเดิม..ร่าเริงแจ่มใสตามวัย รักครู รักพ่อแม่ รักบ้านรักโรงเรียน

การที่ สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีคำสั่ง ให้โรงเรียนทั่วประเทศ อนุญาตให้นักเรียนแสดงออกซึ่งกิจกรรมทางการเมืองภายในโรงเรียนได้ จึงเป็นสิ่งมที่ถูกต้อง โดยหวังว่า จะเป็นช่องทางปรับความเข้าใจกันได้ระหว่าง ครูกับนักเรียนในยุคนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องทุกประการ

ที่สุดก็จะพบว่า แก่นของวิกฤติ  มาจากกลุ่มคนจำพวกหนึ่ง เจาะใช้  “จุดอ่อนแห่งวัย”ของเด็กนักเรียน มาเล่นเกมคว่ำแผ่นดินนี้  ..เพียงเป้าหมาย จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์   มันกล้าละลายยาพิษใส่ปาก สะบั้นสายใย ทำลายโครงสร้าง การเติบโตของเยาวชน ของเด็ก ลูกหลานมีพ่อแม่แม่เขา ทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันแห่งการศึกษา

ถึงวันแผ่นดินแตกแยก ก็ล้วนพ่อแม่ที่กอดลูกต่างร่ำไห้ร่วมกัน  โหยหาวันที่เคยสุขที่ไม่มีอีกแล้ว

ช่างเป็นอาชญากรรม ที่เหี้ยมโหด ไร้คุณธรรม ฆ่าพ่อแม่คนทั้งเป็น ได้ลงคอ

ยอดทอง