ตอนที่ 17 ความรัก คือ สายใย (4)
ความรัก คือ สายใย (4)
กาลเวลาผ่านไป ท้องของแพก็เริ่มใหญ่ขึ้น พบได้เจ้าแก้วเด็กข้างหมู่บ้านมาคอยเป็นเพื่อนดูแลช่วยแพเวลาพบต้องออกไปส่งดอกบัวที่ตลาด แพไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะมันทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แต่พบบอกว่า
“พบจะได้ไม่เป็นห่วงแพไงจ๊ะ ตอนนี้แพไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เวลาพบไม่อยู่บ้าน เกิดแพเป็นลมเป็นแล้งไปเจ้าแก้วจะได้ช่วยดูแลหาหยูกยาให้ไงจ๊ะ ไม่ได้หมดเปลืองสักเท่าไหร่หรอก”
ทำให้แพต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของพบ และยอมรับเจ้าแก้วไว้โดยดี
ทุกๆ เช้าแพก็จะออกมาตักบาตรริมคลองอย่างที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยยายยังมีชีวิตอยู่ แม้หลวงตาองค์เดิมท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว ก็มีพระองค์ใหม่ออกมารับบิณฑบาตแทน แพมีความสุขกับการเก็บดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัย แล้วฝากพบไปส่งขายที่ตลาดและก็ได้เจ้าแก้วมาเป็นผู้ช่วยอีกแรง
ตั้งแต่แพตั้งท้องมาก็ไม่ได้ออกไปช่วยพบเก็บดอกบัวแต่การได้เก็บดอกมะลิทุกเช้า-เย็น
ยิ่งทำให้แพอิ่มไปด้วยความสุข แพเอามือลูบท้องแผ่วเบา รำพึงกับตัวเอง
“ลูกจ๋า หากสิ่งที่ยายมาบอกแม่เป็นจริงแม่ก็จะได้ลูกเป็นลูกสาว แม่จะให้หนูชื่อ ใบบัว แม่อยากเห็นหน้าหนูเหลือเกิน อีกไม่นานเราก็จะได้เจอกัน แม่เตรียมของใช้ไว้ให้หนูทุกอย่างเป็นสีชมพูกับสีขาว สะอาดสดใส”
ทุกวันหลังจากร้อยมาลัยเสร็จ แพจะชวนเจ้าแก้วไปเดินเล่นริมชายโขงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ปล่อยให้พบนอนพักผ่อนอยู่บนลานบ้าน
“แก้วเธอรู้มั้ย ฉันชอบมาเดินเล่นตรงนี้ นั่งตรงศาลายายเพราะฉันมียายเป็นเสมือนแม่ของฉัน หากฉันไม่มียายดูแลกับหลวงตาที่เก็บมาเลี้ยง ฉันก็คงไม่ได้เจอเธอล่ะแก้ว”
“ทำไมหล่ะเจ้าคะ คุณแพ”
“ก็ฉันไม่มีพ่อ-แม่ เหมือนคุณพบนั่นแหละ เราเป็นเด็กกำพร้าทั้งสองคน ยายไปขอฉันกับคุณพบมาจากหลวงตาที่วัด ยายเล่าว่าพ่อ-แม่ของฉันเขาเอามาให้หลวงตาที่วัด แล้วยายก็บอกอีกนะว่า ฉันกับคุณพบก็คือลูกยายที่ไปฝากให้คนอื่นอุ้มท้องมา ฉันยังหัวเราะไม่เข้าใจเลย แต่แก้วเธอก็มีทั้งพ่อแม่ไม่เหงาแล้วก็อบอุ่น แต่ก่อนนี้ฉันไม่รู้สึกเหงาเลยตอนยายอยู่ ตั้งแต่ยายจากไปฉันเหงาอยู่บ่อยๆ ดีที่มีคุณพบเป็นเพื่อนมาโดยตลอด เราเป็นเพื่อนกันมาแต่โชคชะตาของเราทำให้กลายมาเป็นคู่กัน แต่งงานกันและก็มีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องของฉัน วัดกับบ้านยายจึงเป็นเสมือนบ้านเกิดของฉัน และได้เธอมาเป็นเพื่อนอีกคนนะแก้ว”
“คุณแพเจ้าขา แหวนคุณแพสวยจังนะคะ แก้วเห็นคุณแพใส่แหวนไม่เคยถอดเลยแม้แต่วันเดียว”
“อ๋อ…แหวนนี้ยายมอบให้คุณพบ คุณพบให้ฉันเป็นของหมั้นวันแต่งงานน่ะ”
“คุณแพคงรักมากซิเจ้าคะ ถึงไม่ได้ถอดเลย”
“ใช่จ้ะ มันทำให้ฉันมีความรู้สึกว่ายายอยู่ด้วยจึงรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก”
“แหวนมรกตนี้สวยเหลือเกินนะเจ้าคะ ยิ่งตอนนี้แสงพระอาทิตย์ส่องกระทบ แสงเป็นประกายแวบวับ งามจับใจจริงๆ”
แพ…เอามือลูบที่หัวแหวน แล้วพูดขึ้นว่า
“มันเป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บรักษาและอยู่คู่กับฉันจนวันตาย ทั้งหลวงตาและยายคือผู้ให้ชีวิต
ฉันให้ความรักความเมตตา และปรารถนาดีกับฉัน ทุกวันนี้ฉันกราบไหว้ยายด้วยดอกบัวหลวงที่บานแล้ว เพราะฉันรู้ว่าบุญกุศลที่ฉันกับคุณพบทำและอุทิศให้ยายมาโดยตลอด เมื่อยายเห็นหลาน ใบบัว ฉันเชื่อว่ายายจะหายห่วงฉันและวันนั้นแหละยายจะไปนิพพาน”
“นิพพาน คืออะไรเจ้าคะคุณแพ”
“นิพพาน คือจุดหมายสูงสุด ผู้บรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิตได้ คือ พระอรหันต์ มีสมาธิ
ชอบ เป็นแนวทางไปสู่จุดหมายสูงสุดของชีวิต ในพระพุทธศาสนา นิพพานคือ ความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ และสิ้นโมหะ ผู้บรรลุนิพพานถือว่าเป็นผู้สิ้นกิเลสอย่างสิ้นเชิงมีความหลุดพ้น”
“ทำอะไรกันอยู่”
เสียงพบตะโกนมาแต่ไกล
“นั่งคุยเล่นกับแก้วอยู่จ้ะ”
“ได้เวลาทานข้าวกันแล้วจ้า”
“ยังไม่หิวเลย พบเดินมาทางนี้ซิ”
พบเดินตามเสียงเมียรักมาจนถึงศาลายาย
“มีอะไรเหรอแพ”
“เปล่าหรอกจ้ะ แพอยากให้พบมาดูพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าริมโขง วันนี้สวย
แปลกตากว่าทุกวัน แสงพระอาทิตย์วันนี้ลำแสงกระจายไปทั่วขอบน้ำ เงาของแสงอาทิตย์ดวงกลมเหมือนพระจันทร์ มีเงาคล้ายมังกรคู่สองทั้งซ้ายขวา พบ แก้ว เห็นเหมือนแพไหมจ๊ะ”
“เออใช่แพ แก้วล่ะเห็นเหมือนคุณแพไหม”
“เห็นเจ้าค่ะ แต่แก้วว่าพญานาคไม่ใช่เหรอเจ้าค่ะ”
“พญานาคกับมังกร แทบแยกกันไม่ออกให้ดูที่เท้าเห็นไหมแก้วมีเท้า”
แก้ว…ตาเบิกกว้าง…
“จริงด้วยคุณแพ คุณพบ”
“แปลกนะแพท่านมาสื่ออะไรบางอย่างให้เรารึเปล่า”
“นั่นนะสิ แต่งดงามราวภาพวาดเลยนะพบ แก้ว”
“เจ้าค่ะ”
ภาพมังกรคู่โอบดวงอาทิตย์ค่อยๆเลือนหายไปกับขอบฟ้าจนเกือบหมด ทั้งสามคนเก็บ
ความประทับใจเอาไว้…จนเกิดความเงียบไปชั่วขณะ เรือหางยาวแล่นผ่านมาพอดีทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์
“ไปๆ ใกล้ค่ำแล้ว แพหิวข้าวแย่เลย ไปกินข้าวกันแก้ว”
“แพไม่หิวเลยวันนี้”
“ไม่ได้หรอก แพอย่าลืมว่ามีอีกชีวิตอยู่ในตัวของแพนะ”
พบจับมือเมียรักและจูงเดิน แพเอามืออีกข้าง
“ไปแก้วไปเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณแพ”
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว หลายชีวิตริมน้ำโขงเริ่มเงียบสงัด มีแต่เสียงเหล่านกกาที่กำลัง
บินกลับรัง ส่งเสียงจิ๊บจิ๊บ อย่างเช่นนี้เป็นชั่วนาตาปี ชั่วกัปชั่วกัลป์