คอลัมน์ในอดีต

ตอนที่ 13 ความรัก คือ พลังใจ

๑๓. ความรัก คือ พลังใจ 

หลังจากที่พบและแพใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา และยังคงเก็บดอกบัวเหมือนเมื่อยามเป็นเด็ก แต่ในครั้งนี้ดอกบัวหลวงนี่แหละทำให้เขาทั้งสองมี สัมมาอาชีพ

“แพคิดไหมว่าเราสองคนโชคดีที่ได้พบยาย”

พบพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมราวกับมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ  แพวางดอกบัวที่กำเสร็จเรียบร้อยลงในถาดที่มีดอกบัวสีขาวและสีชมพูกำเสร็จแล้ววางเรียงอยู่เกือบเต็ม  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานกับพบ

“ใช่สิจ๊ะพบ  เราสองคนโชคดีที่ได้เป็นลูกยาย  ถึงเราไม่มีพ่อแม่  แต่เราก็มียาย  ยายให้ชีวิต  ให้ทุกอย่างกับเรา….พบคิดอะไรหรือ  ทำไมหน้าเครียดจัง”

พบสั่นหน้า  เอื้อมมือมาจับมือแพไว้

“พบเสียดายที่ยายด่วนมาจากไปเสียก่อนโดยที่เราไม่มีโอกาสตอบแทนพระคุณของยายเลย”

“แต่การที่เรายึดมั่นในการทำความดีตามคำสั่งสอนของยายก็เปรียบเหมือนเราได้ตอบแทนยายทางหนึ่งนะจ๊ะพบ  ยายเคยบอกว่าการเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องธรรมชาติของโลก  มีใครบ้างเกิดมาแล้วไม่แก่  ไม่เจ็บ  ไม่ตาย”

“เพราะยายแท้ๆ นะแพ  ที่ทำให้ชีวิตเราสุขสบายอย่างนี้”

พบมองไปรอบๆ ตัวด้วยดวงตาที่เป็นประกายของความสุขและความหวัง   

“คงเป็นอานิสงส์ที่เราเก็บดอกบัวให้ยายใส่บาตรหลวงตา และบูชาพระนะพบ”แพบอก

แทบทุกครั้งที่เก็บดอกบัวหลวงซึ่งชูช่อส่งกลิ่นหอมอ่อนโยน แพยังคงดำเนินรอยตามยายพริ้ม เก็บเฉพาะดอกบัวหลวงที่บานแล้วลอยน้ำถวายพระและยายพริ้มผู้จากไป

………………………………………………

ทุกวันก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า และดวงจันทร์ ดวงดาวจะเข้ามาแทนที่ ทั้งพบและแพมักจะพากันไปพายเรือเล่นในลำคลองเล็กเพื่อดูแลดอกบัวหลวงไม่ให้วัชพืชเข้ามาเบียดบัง เพราะดอกบัวหลวงสีชมพูสดใสได้หล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาทั้งสอง อีกทั้งยังมีผักบุ้งทอดยอดไว้ให้เก็บกิน ส่วนที่เหลือยังนำไปขายที่ตลาดได้อีก

แสงสีทองยังคงสาดส่องกระทบพื้นน้ำเป็นแนวยาวส่งแสงประกายแวบวับ 

“พระอาทิตย์พระจันทร์เป็นดวงเดียวกันยายเคยบอก”

จู่ๆ แพก็เอ่ยขึ้น  ทำให้พบหยุดชะงักฝีพายและหันมาทางแพ แสงอาทิตย์อัศดงส่องกระ

ทบที่แหวนมรกตที่นิ้วนางข้างซ้ายทำให้พบนึกถึงหญิงชราขึ้นมาทันที

“แพ…จำได้มั้ย ยายเคยเล่าเรื่องตาแสง ตาแสงจากยายไปหลังจากอยู่ร่วมกันที่บ้านเรือนไทยหลังนี้ไม่ถึงหนึ่งปี ยายกับตารักกันมาก และสัญญากันไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันรักกันนิรันดร ตามอบมรกตนี้ให้ยาย หลังจากที่ตาออกไปทอดแหหาปลาสุดโค้งลำน้ำโขงด้านโน้น ตาทอดแหครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ได้ปลาสักตัว จนตาต้องอธิษฐานจิตขอทอดแหอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตะวันจะตกดิน ตาเหวี่ยงแหไปเหมือนจะหมดโอกาสในวันนั้น แต่ขณะที่ตาเก็บแห แวบหนึ่งที่ส่องมากระทบดวงตาของตา เป็นก้อนสีเขียวส่องแสงประกายแวบวับเหมือนที่นิ้วนางของแพตอนนี้ ตาหยิบขึ้นมาดู ตาถึงกลับขนลุกเมื่อเห็นพญานาคคู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำวนโค้งเข้าหากัน และมีเสียงผ่านสายลม…ข้าให้เจ้า จงเก็บรักษาไว้ให้กับผู้มีบุญบารมี มันคือ โลหิตของข้าที่กลั่นออกมาจากหัวใจ

“หลังจากที่ตากลับมาเล่าให้ยายฟังและมอบมรกตให้ยายแล้วตาก็ได้บอกยายไว้ โดยให้นำมรกตไปทำหัวแหวนและให้เก็บรักษาไว้เป็นมรดกประจำตระกูลจนกว่าจะถึงเวลาของเจ้าของมรกตนี้มานำไปครอบครอง แล้วหลังจากนั้นไม่นานตาก็จากไป”

แพมีอาการขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ  มองหน้าพบและกอดพบไว้แน่น

“พบพูดอะไรน่ากลัวจัง”

“ไม่ได้ตั้งใจพูดให้แพไม่สบายใจหรอก   อยู่ๆ มันก็นึกขึ้นมาเฉยๆ”

พบกอดตอบและรู้สึกวาบหวิวในใจเช่นกัน  

“นั่นเป็นเรื่องเก่าของตากับยายจ้ะแพ  เราต้องอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าอย่างที่เราบอกกันเมื่อวันแต่งงานจำได้ไหม”

“จำได้สิพบ  เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน”

แพพึมพำ

………………………….ในครั้งกระโน้นยายพริ้มยังคงไม่เข้าใจ เธอรู้สึกโศกเศร้าเหลือเกินที่สูญเสียสามีอันเป็นที่รัก หญิงชรารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ในหัวใจมีแต่ความว่างเปล่า จนกระทั่งค้นพบสัจธรรมของชีวิต ทุกอย่างอยู่ที่พลังใจที่เหนือพลังกายอย่างที่สุดจะพรรณนา หญิงชราใช้พลังใจเข้าแก้ไขปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นกับการที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว และในที่สุดหญิงชราก็สามารถผ่านร้อนหนาวผ่านความเศร้าโศก ความอ่อนแอ สู่ความเข้มแข็ง มุ่งมั่น ฟันฝ่า จนสำเร็จ เดินทางตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปในที่สุด 

“พบเล่าเรื่องยายแล้วคิดถึงยายเหลือเกินนะ พระจันทร์ขึ้นแล้วเข้าบ้านเถอะ ยายมองเราอยู่บนฟากฟ้า”

“ยายจ๋า…เราสองคนเก็บดอกบัวหลวงไปฝากยายนะจ๊ะ…”

หลังจากที่พบกับแพ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพเรียบร้อย ทั้งสองคนอยู่ใน

ชุดขาวบริสุทธิ์ และช่วยกันนำดอกบัวหลวงบานลอยน้ำเพื่อขึ้นถวายพระและหญิงชรา 

“ดอกบัวหลวง คือ ดอกไม้ที่รองรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์

กวนอิม ยายเคยบอกไว้นะพบ” 

แพเอ่ยขึ้น…ขณะที่กำลังนำดอกบัวหลวงขึ้นถวายพระ

“อีกอย่างการที่เรานำดอกบัวหลวงที่บานแล้วขึ้นถวาย ความหมายตามที่แพเข้าใจเอง

เหมือนบัวพ้นน้ำ หลุดพ้นแล้ว จึงเบ่งบานส่งกลิ่นหอมเย็นอ่อนโยนงดงามจริงๆ”

“คืนนี้เราสวด บารมี ๓๐ ทัศ เพิ่มขึ้นอีกเพื่อตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่เราปรารถนาและได้ส่ง

ขึ้นให้ยายรับบุญกุศลที่เราปฏิบัติเท่าๆกันนะ”

ได้เวลาทั้งสองจุดธูป เทียนผึ้งแท้ที่ได้จากเมืองเวียงจันทน์ บูชาพระรัตนตรัย และกล่าว

ขึ้นพร้อมๆ กันตั้งแต่ นะโม ๓ จบ 

“ข้าพเจ้าขอกราบไหว้บูชา ตลอดจนพระพุทธรูปทั้ง ๘ องค์ที่ลอยน้ำมาจากล้านช้าง และ

ตามด้วยบารมี ๓๐ ทัศ”

พบถามแพว่า… 

“แพอธิษฐานขอสิ่งใด” แพตอบทันที… “สายใยชีวิต จ้ะพบ”

พบดึงตัวแพเข้ามาโอบและพูดแผ่วเบาข้างซอกหู… 

“เราใจตรงกันจริงๆ นะแพ”

มณีจันทร์ฉาย