เงินไหลไป กับสไตล์รัฐบาลลุงตู่
รัฐบาลลุงตู่ กู้เงิน 1.9แสนล้านบาท โดนพรรคการเมืองฝ่ายค้านถล่มอภิปรายแบบตอกทุกดอกกระท่อกทุกมุม นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ในวิถีการเมืองถล่มถ่มน้ำลายกันในสภา
การ”ตีปลาหน้าไซ”ของนักการเมืองฝ่ายค้าน ก็มีประโยชน์ไปอย่าง คือ ทำให้ ลุงตู่และรัฐบาล ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการบริหารจัดการเงินก้อนใหญ่นี้ ให้คุ้มค่าที่สุด ลงลึกได้ประโยชน์ที่สุดต้องพลเมืองชาวไทย จากระดับรากหญ้าขึ้นมา
ลุงตู่ กล่าวชัดๆ ว่า ถ้าไม่มีวิกฤติโควิด-19 รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินมากมายขนาดนี้หรอก
เศรษฐกิจล่ม ธุรกิจมากมายปิดกิจการ โรงงานเลิก มีอัตราประชากรตกงานมากมาย รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมการรองรับและแก้ปัญหา “กู้วิกฤติ” ให้ประชาชนอยู่รอดผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ ต้องมีทั้งแผนงานและเงินช่วยเหลือ ต่อให้ใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องทำเช่นนี้
พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เจ้ากระทรวงมหาดไทย กระทรวงใหญ่ที่น่าจะถืองบมากที่สุด กล่าวว่า นักการเมืองฝ่ายค้านอยากจะด่า ก็ด่าไปในสิทธิขอบเขตุในสภา และคอยตรวจสอบ “การกระทำ”ของรัฐบาลตามหน้าที่ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
มีปม มีทุจริต เอางบประมาณมาถลุงกินกัน ก็ ขุดเอามา ให้กระบวนการทางกฎหมาย จัดการได้เลย
ในอดีตที่ผ่านมา ก็เห็นๆ นักการเมือง นักธุรกิจที่ทุจริต โกงกิน เงินงบประมาณรัฐบาล คิดคุกก็เยอะ หนีไปก็มาก
รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ต่าง โดยเฉพาะ ท่านนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเข้มงวด ทั้งนโยบายและบุคลากร ต้องรับผิดชอบสูง พลาดพลั้งไป ไม่ว่าจุดไหน กฎหมายครอบคลุมกล่าวโทษได้
ฐานะ ประชาชน ไม่ฝักใฝ่การเมือง ผมก็ว่า fair enough ยุติธรรมดี
ทุกอย่างย่อม ดำเนินต่อไปตามวลีฝรั่ง the show must go on
ต่างคนต่างทำหน้าที่ให้ดี ประชาชนได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจก็แล้วกัน
มีผู้สันทัดกรณีหลายคน ให้ความเห็นว่า เมืองไทยเราโชคดี ที่มีรัฐบาลลุงตู่ ที่ไม่ใช่นักการเมืองจ๋า บริหารประเทศในช่วงที่ประเทศต้องโดนผลกระทบ วิกฤติโควิด-19 พอดี
เพราะถ้าเป็นรัฐบาลพรรคการเมือง บริหารประเทศแบบทศวรรษก่อน การบริหารจัดการ ไม่รู้จะเละไปถึงไหนเลย ด้วยวิสัยนักการเมืองจะหาเสียง เอาแต่พรรคแต่ตัวตนท่าเดียว ดูเก่งไปหมด ก็จะแย่งกันทำงาน แย่งกันใช้งบประมาณ รูรั่วบาน ดังที่เห็นตัวอย่างเนืองๆ มาทุกยุค
ยิ่ง “มีช่อง” รัฐบาลกู้เงินก้อนมหาศาลเป็นล้านล้านบาท!
ใครเป็นนักการเมืองฝั่งรัฐบาล ก็ขนลุกซู่ละ รัฐบาลมีเงินให้ของบประมาณได้อย่างจมเขี้ยว
รัฐมนตรีทุกกระทรวง ย่อมมีโปรเจ็กต์งาน ช่วยเหลือประชาชนสารพัด ทั้งกลไกการอุ้มชูวัฒนธรรมการเมือง ทั้งกลไกนักการเมืองอาชีพ รัฐบาลก็จะต้องแจกเงินโน่นนี่นั่น ไปทำกัน
อันจะเป็น “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” หรือ รูรั่วทุจริตบาน จะรู้ได้อย่างไร ฤามันจะ จิ้มตรงไหนก็พุหนองเร็ดตรงนั้น ไม่ได้ไปถึง ประชาชนระดับรากหญ้าหรอก อันเป็นตัวอย่าง สารพัดในทุกยุคที่ผ่านมา
แม้ รัฐบาลนาวาเหล็กลุงตู่ จะมีสนิม มีรอยรั่วบ้างตามประสาการเมืองไทยๆ แต่ ยังพอให้ความหวัง พึ่งพาได้
อย่างน้อยก็ไม่กลัวที่จะ “ยับยั้ง” การใช้อำนาจต่อรองทางการเมืองของนักการเมืองมาข่มขู่ ไม่สลายบุคลิก ไม่ใช่นักการเมือง แต่มาทำงานการเมือง เพื่อ รับใช้ประเทศ
ในการปฏิบัติงานต่อต้านการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในครึ่งปีที่ผ่านมา บ่งถึงการทำงานด้วยการใช้บุคลากรที่ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพล้วนๆ แต่ใช้ระบบข้าราชการ ให้อำนาจความเข้มแข็ง เพื่อทำงานเต็มที่ โดยไม่ต้องผ่าน “สายท่อ”วิถีการเมือง นักการเมืองใดๆ
ไม่เพียงแต่งานที่สำเร็จ ยังทำให้ประชาชนคนไทยเห็นว่า ถึงไม่มีนักการเมือง ระบอบการเมือง100เปอร์เซ็นต์ ประเทศก็เดินต่อไปได้
เดินดี ยิ่งกว่ามีนักการเมืองสารพัดมุ้งเป็นกลุ่มบริหารประเทศเสียอีก
ยิ่งพรรครัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ ยก”ลุงป้อม”เป็นหน.พรรค พล.อ.อนุพงษ์ เป็นรมว.มหาดไทย 3มหาอำนาจของจริง ยิ่งจบ การทำงานของรัฐบาลลุงตู่ก็ยิ่งง่าย
นักการเมืองดูจะไร้ราคาไปเลย ในสายตาประชาชน
กลายเป็นว่า นักการเมืองใช้ปากทำงานในสภา ทั้งพรรครัฐบาล ทั้งพรรคฝ่ายค้าน จะทะเลาะกัน จะด่าทอ จะเรียกร้องประชาธิปไตยอะไรก็ทำไป
ยิ่งเลอะเทอะ ยิ่งโวย ก็ยิ่งหมดราคา
ประชาชนก็เอือมเองกับ สันดานนักการเมือง ที่ขึ้นเวทีถุยน้ำลายใส่กัน กลายเป็นละครน้ำเน่ารายวัน ชาวบ้านติดตามดูกันฟรีๆ
ความสำเร็จ จากการพิชิตโควิด-19 โดย ไม่สนใจพึ่งนักการเมือง จะกลายเป็น “สูตรการทำงาน”ของลุงตู่ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศในวาระต่อไป
คือ ไม่ใช้การเมืองเป็นกลไก ลงไปสู่ประชาชน สู่ระบบช่วยเหลือถึงรากหญ้า
แต่รัฐบาลจะระดมสรรพกำลัง ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน ทั้งภาพรัฐภาคเอกชน เบรนด์สตรอม “นำทาง”หลักการแผนงานโปรเจ็กต์นั้นๆ เพื่อการส่งท่อ แห่งโอกาส ท่อน้ำเลี้ยงไปถึง รากหญ้าประชาชนจริงๆ โปรเจ็กต์ต่างๆ ดำเนินการไปตามระบบหน่วยงานราชการ นักการเมืองเพียงตรวจสอบ และฟังเสียงประชาชน ไม่ได้ล้วงลึกถึงงบประมาณ
บางที กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การดูแลของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะเป็น “พระเอกนำ”
ไม่ต่างกับที่ กระทรวงสาพารณะสุข เป็นพระเอกนำ ครั้งต่อสู้ไวรัสโควิด-19
เงินงบประมาณนับล้านล้านบาท ที่เน้นถึงการกอบกู้เศรษฐกิจ พาประชากรให้รอดพ้นจากวิกฤติ การใช้เงินในโปรเจ็กต์ต่างๆ จะผ่านกลไก คัดกรอง ทั้งหน่วยราชการกระทรวงต่างๆ ที่มีความสามารถ ผนวกกับ “มันสมอง” ของ บรรดาไทคูนธุรกิจแสนล้าน “ไทยแลนด์ทีม” ที่สร้างฐานไว้เป็น “พระเอก” สร้างผลงานช่วยเหลือเศรษฐกิจประเทศ ลงลึกถึงรากหญ้า ..หาใช่นักการเมืองทุกระดับไม่
อันน่าจะหมดยุค อำนาจบริหารจัดการเงินงบประมาณตกในมือนักการเมืองแบบเดิมๆ แล้ว
นี่แหละคือ ตัวอย่างการทำงานสไตล์ลุงตู่ ที่ประชาชนตั้งแต่รากหญ้าหวังพึ่งได้
แรกๆ ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ที่รัฐบาลลุงตู่แจกเงิน แบบหว่านรอบทิศ แจกสะบั้นยิ่งกว่าซานตาคลอสมาเอง
ไม่ทั่วก็เอาให้ทั่ว..พระยังแจก ทั้งที่พระเมืองไทย แผ่นดินพุทธศาสนา มีโยมอุปัฎฐาก ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ (ขายของมงคล/ เดินสายรับสวดกิจพิธีสงฆ์) มีวัด พักฟรี อาหารฟรี ขอเพียงอยู่ในผ้าเหลือง เครื่องแบบสาวกพระพุทธเจ้า คนไทยไม่มีปล่อยให้เดือดร้อน พระไทยสบายที่สุดในโลกแล้ว
เหมือนเงิน ปลอบใจ ถูกหวยเลขท้าย2ตัว ..ให้ตั้งหลัก สภาพจิตใจ ไม่จิตตกไว้ก่อนให้กำลังใจตั้งหลัก
บัดนี้ 3 เดือน หมดพีเรียดแล้ว หมดโปรแล้ว หมดเวลาฮันนีมูน
ประชาชน ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกับ “โอกาส” ที่รัฐหามาให้ กับวิถีชีวิตดูแลตัวเอง ในยุค new nomal
ตัวอย่าง โปรเจ็กต์ “เราเที่ยวด้วยกัน .com “ เป้าหมายคือ save ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม โดยให้ประชาชนชาวบ้านเป็น “พาหะ”พาเงิน ส่งต่อ
ระบบการลงทะเบียนจอง การจ่ายเงินของรัฐ สู่ผู้ประกอบการโดยตรง ทั้งโรงแรม สายการบิน ช่วยจ่ายให้ประชาชนได้ไปเที่ยวในราคาถูกแบบไม่มีอีกแล้ว แถมเงินใช้จ่ายในท้องถิ่นด้วย..ทุกอย่างเป็นมูลค่า ไม่แจกเงินเข้าบัญชีแบบแต่ก่อน รัฐตามจ่ายเชคบิลให้เองตามระบบ
คนไปเที่ยว รัฐให้ทุนไว้เป็นตัวเลข เกือบหมื่นบาท(รวมหมด) เอาเงินตัวเองไปใช้แค่ สามพัน ห้าพัน ยังไงก็ถึงชุมชนรากหญ้านั้น
ทุกอย่างจึง win –win
โรงแรมพออยู่ได้ ดูแลพนักงานได้ เครื่องบิน บินได้ ถึงขาดทุน แต่ก็ยังให้งานทำ
นี่เป็นตัวอย่างของ การทำโปรเจ็กต์อย่างมีระบบ เพื่อให้ “เงินไหล” ไปยังจุดที่ช่วยเหลือ ซึ่งผมไม่คิดว่า เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯที่เป็นนักการเมือง คิดได้เอง
หากมาจากการเบรนด์สนตรอมของทีมงานเศรษฐกิจการตลาดของรัฐบาลลุงตู่
โปรเจกต์นี้ ที่จำกัด การลงทะเบียนสองสามล้านราย (เพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณ) ที่จริงไม่ควรจำกัด
เพราะ ธรรมชาติคนไทยเรานั้น อะไรที่เป็นสิทธิพิเศษ มีมูลค่าเป็นเงิน ในระบบแย่งกันลงทะเบียน ..มักจะ กูเอาไว้ก่อน
แต่จะใช้สิทธิ์จริงๆ หรือไม่ อยู่ที่ตอนนั้นมีเงินพอหรือเปล่า?
ไม่มี ก็ไม่ใช้ สละสิทธิ์ อันเป็นการสูญเปล่า สำหรับคนที่อยากไปจริง แต่ลงทะเบียนไม่ทัน
คนระดับมิดเดิล อัพเปอร์คลาส ที่มีเงินเดือนเป็นแสนบาทอัพ ที่อยากเที่ยว อยากใช้สิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน.com”ก็เยอะ
เขาให้ประเด็น มีโรงแรมรีสอร์ทห้าดาวหลายโรงแรมทั้งที่ภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย ฯลฯ ที่ค่าที่พักปรกติ คิดราคาเป็นยูเอสดอลลาร์ เน้นลูกค้าฝรั่งมีเงิน ตีเป็นเงินไทย คืนละหลายหมื่น ครี่งแสนยังมี เข้าร่วมโครงการ บางแห่งเหลือไม่ถึงคืนละหมื่น แล้วค่าบินก็ยังถูกได้ลดด้วย
ไม่มีวาระไหนแล้วที่ใช้เงินตัวเอง สองสามหมื่นบาท แต่ได้รับบริการ สัมผัสรสนิยมระดับ elite มูลค่าเป็นแสน
อยากไป อยากใช้สิทธิ แต่ติดขัดที่ ลงทะเบียนไม่ทัน
คนเงินเดือนเป็นแสนอัพ มีกำลังจ่าย ใช้เงินสองสามหมื่นต่อหัว ไปจ่ายให้เงินไหลเข้าระบบช่วยเหลือธุรกิจการท่องเที่ยว มีร้อยคน เงินก็ไหลเป็นหลายล้านบาท เทียบกับ คนกลุ่มใหญ่ใช้เงินเป็นพันกับการท่องเที่ยว ต้องมีจำนวนมากเป็นสองสามเท่า ถึงได้เม็ดเงินไหลสู่ระบบเป็นล้านเท่ากัน
ตลาดท่องเที่ยวก็ต่างกัน มูลค่าก็ต่างกัน จะไป “ตัด”โอกาสทำไม กับระบบ ลงทะเบียนแข่งขันล่ะครับ
ผมว่า level luxury หรู นี้ ควรเปิด open ไปเลย น่าจะได้ลูกค้าคนเที่ยวไทย และเม็ดเงินสู่โรงแรม5ดาวได้ดีนะครับ
ยังมีอะไรๆที่ ตั้งท่าดูดี ในรัฐบาลลุงตู่ ที่ใช้เงินกู้ล้านล้านบาท และองค์กรเอกชน ที่ระดมโปรเจกต์ ช่วยวิกฤติ สร้างชีวิตใหม่new normalให้กับประชาชนคนไทย อันต้องรอดูต่อไป
ยอดทอง