งานวิจัยไทย ขึ้นทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ
หลังจากเมื่อครั้งปล่อยดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อวกาศ ดูเหมือนว่าบ้านเราจะไม่ค่อยมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอวกาศโดยตรงสักเท่าไหร่ จนกระทั่งมีภาพกล่องขนาดเล็กๆ กล่องหนึ่งที่ติดธงชาติไทย ลอยล่องไร้น้ำหนักอยู่ในยานอวกาศ ส่งต่อกันในโลกโซเชียล ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเพียงกล่องเล็กๆ แต่ภายในกล่องนั้นบรรจุงานสำคัญที่มีความหมายยิ่งใหญ่ทีเดียว
ภายในกล่องที่ล่องลอยไร้น้ำหนักนั่นก็คือ งานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ของโปรตีน-สารยับยั้ง และ โปรตีน-โปรตีน สำหรับการพัฒนายาต้านมาลาเรีย” ของ ดร.ชัยรัตน์ อุทัยพิบูลย์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และทีมงาน เป็นหนึ่งในหัวข้องานวิจัยภายใต้โครงการ National Space Exploration ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า (GISTDA) และ ไบโอเทค สวทช.ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA ซึ่งจะถูกนำขึ้นไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในห้องทดลองคิโบะโมดูลขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น
ปัจจุบันการรักษาโรคมาลาเรียนั่นมีปัญหาเรื่องเชื้อมาลาเรียมีการดื้อยาที่ใช้มากขึ้น ในแต่ละปีทั่วทั้งโลกต้องมีผู้ป่วยราว 4 แสนคนต้องสังเวยชีวิตให้กับโรคนี้ ทีมวิจัยจึงมีความสนใจพัฒนายาต้านมาลาเรียชนิดใหม่ที่สามารถฆ่าเชื้อมาลาเรียดื้อยาได้ โดยทีมนักวิจัยจะส่งสารโปรตีนขึ้นไปเพื่อทดลองปลูกผลึกในห้องปฏิบัติการอวกาศ ซึ่งผลึกโปรตีนที่ปลูกขึ้นในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนอวกาศ จะได้ลักษณะและคุณภาพของผลึกโปรตีนที่ดีกว่าการปลูกผลึกโปรตีนบนพื้นโลก มีขนาดใหญ่กว่า สมบูรณ์กว่า และสามารถนำไปศึกษาพัฒนาเป็นยาต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลังจากปลูกผลึกโปรตีนในอวกาศสำเร็จแล้ว ซึ่งจะใช้เวลาราว 30 วัน ก็จะมีการนำผลึกโปรตีนกลับมาที่โลก ด้วย SpaceX Dragon Capsule เพื่อทำการวิเคราะห์โครงสร้างของโปรตีนดังกล่าวต่อ ซึ่งจะช่วยทำให้เราได้ข้อมูลโครงสร้างของโปรตีนเป้าหมายยาดังกล่าวที่ชัดเจนมากขึ้น และจะช่วยให้ทีมวิจัยสามารถออกแบบยาต้านมาลาเรียชนิดใหม่ที่มีความจำเพาะต่อโปรตีนเป้าหมายยานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันจะนำไปสู่การสร้างยาต้านเชื้อมาลาเรียดื้อยาชนิดใหม่ ที่มีคุณภาพมากขึ้นกว่าเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งครั้งนี้นอกจากจะเป็นความพยายามตกผลึกโปรตีนเพื่อรักษาโรคมาลาเรียครั้งแรกของโลกด้วย ยังเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ส่งผลงานวิจัยไปทดลองยังสถานีอวกาศนานาชาติและคาดว่าจะมีการส่งผลงานวิจัยประเภทอื่นๆ ที่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการ National Space Exploration ไปทดลองบนอวกาศอีกในอนาคต เช่น “การศึกษาการชักนำหัวของพืชสร้างหัวภายใต้สภาวะไร้น้ำหนัก” ซึ่งนักวิจัยต้องการศึกษาว่าในสภาวะอวกาศที่ปราศจากแรงโน้มถ่วงนั้น มันสำปะหลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และจะสามารถสะสมแป้งเพื่อทำให้เกิดหัวที่ส่วนรากได้หรือไม่ โครงการวิจัยนี้นับเป็นการพัฒนาความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ ด้านเทคนิคการออกแบบระบบปิดสำหรับการปลูกพืช ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแหล่งอาหารและออกซิเจนสำหรับนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศได้
นอกจากนี้ยังมี “โครงการอาหารไทยไปอวกาศ” ซึ่งเป็นพัฒนาอาหารไทยให้เป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศ โดยจะศึกษาการถนอมอาหารที่เหมาะสม การออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารไทย และการทดสอบอาหารไทยที่ส่งผลต่อสุขภาพของนักบินอวกาศ โดยล่าสุดทางโครงการวิจัยได้ร่วมกับบริษัท Start up ด้านอวกาศในประเทศไทย ทดสอบเบื้องต้นด้วยการส่งทุเรียนอบแห้งไปในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง
เหล่านี้ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่จะเปิดกว้างด้านการศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอวกาศของคนไทยให้มากขึ้น ซึ่งอีกไม่นาน บ้านเรา กับเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอวกาศ คงจะมีความ “เป็นไปได้” มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่จินตนาการนัดเจอมนุษย์ต่างดาวกันบนยอดเขาเท่านั้น
(ที่มา : www.nstda.or.th)