Sport for Life

นี่คืออะไรกัน

ฉบับนี้ครูไก่ขอย้ายแทนเธอมาจาก “เทนนิส” มาสู่ฟุตบอลทีมชาติไทยสักนิด เพราะนับจากเราทำได้เพียงรอบตัดเชือกในศึกการฟาดแข้งใหญ่ภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ซึ่งความจริงทางเราได้ลูกโทษนั้นเป็นประตูก็ไม่แน่ว่าในคู่ชิงเราจะรอดหรือเปล่า ซึ่งครานั้นเป้าหมายของสมาคมในคู่ชิง ”เอเชี่ยนคัพ” อันมีสังเวียนการแข่งขันอยู่แถบตะวันออกกลางโน่น ยิ่งจากการที่เห็นสายการแข่งขันไทยเรามีโอกาสมากโขที่จะเข้าสู่รอบสอง ซึ่งทีมไทยเราเองยังไม่เคยฉันรู้ซักครั้งหนึ่งเลย… แล้วยิ่งเรามีสามแข้งหลักที่เป็นสินค้าส่งออกไทยต่างแดนเข้ามาช่วยทีมก็เท่ากับว่าเราคือทีมแข่งทีมหนึ่งในสายนี้

จากที่อกหักรักคุดกับ ซูซูกิ คัพ มาหมาดๆ ทีมไทยก็จะขอล้างอายในคราวนี้แหละ แล้วทีมที่เป็นคู่ต่อกรเราคือ “อินเดีย” ที่ไม่เคยเอาชนะเรามาเลยในรอบ 30 ปีและทำได้ดีที่สุดคือเสมอกันไปแต่พอเอาเข้าจริงๆ ทีมจากดินแดน แสนวัฒนธรรมก็ล่อเป้าเราเสียไม่เป็นทรง นั่นเพราะสกอร์ที่เกิดขึ้น 5 ประตูในเวลามันน่าจะเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เราชนะแต่ดันกลายเป็น “อินเดีย” ที่ครั้งหนึ่งคืองูกัดเชือกกล้วย เจอเราเป็นจอดแบบไม่ต้องแจวเป็นผู้สอนเชิงไป 4:1 แบบชนิด “เปลืองค่าไฟและสายตา” ครูไก่ยังคงเชื่อในฝีเท้าของผู้เล่นจากรูปลุ่มน้ำเจ้าพระยา ว่าครึ่งหลังจะกลับมาได้แบบหมดจดสดใส… แล้วก็เป็นอย่างคิด หลังมีอีกสามตุงซึ่งก็เป็นของอินเดียทั้งหมดเล่นเอาคนไทยทั้งประเทศไปไม่ถูกกับผลที่ออกมา…

แล้วด้วยผลงานที่เห็นทางจอทีวีก็ได้เป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วคือ “สงครามแห่งการเปลืองไฟและไร้สาระมันมีจริง” กับทีมเราที่เชียร์กันมาในฐานะคนไทยสำหรับครูไก่อยากรู้สมาคมฟุตบอลคิดอะไรอยู่ในการแข่งเมื่อครั้งที่เราแพ้มาเลเซีย แล้วทรงบอลที่เคยเห็นในการแข่งขันคราวนั้นมันก็มาอีกครั้งนะครับ คราวนี้โดนอินเดียล่อซะ 4:1 คงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่คุณมาไทยจะอดทน ผมว่าสมาคมเองก็รู้ว่าทางโค้ชคนนี้อยู่ต่อก็ยากที่จะรักษาอำนาจในสมาคมนี้ได้ สุดท้ายก็ต้อง “ตะเพิด” เขาออกไป เรียกว่าการเปลี่ยน “แม่ทัพกลางศึก” เช่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็อย่างที่เห็นในการเล่นที่ผ่านมา สกอร์ 1:0 ที่เอาชนะก็พอจะให้อภัยกันได้ในความเสียใจต่ออินเดีย แต่สมาคมควรมีความรับผิดชอบอะไรมากกว่านี้นะ… กับความล้มเหลวก่อนหน้า

ครูไก่ ลำพอง ดวงล้อมจันทร์