ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวป่า (จบ)
ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวป่า (จบ)
เริ่มจากการขี่จักรยาน ตรวจงานสนามกอล์ฟ จนได้มีโอกาสเข้ากลุ่มกับขาโดด สายขึ้นเขาลงเขา ตั้งแต่เริ่มต้น ปั้นเนินโดด กันเอง บ้ากันถึงขั้นทำรายการทีวีกัน (เสือน่องโต) จนตอนนี้พี่ๆเค้าไปแข่ง จักรยาน downhill จนได้ถ้วยกันหลายคน สิ่งสำคัญที่ได้จากการขี่จักรยานและเป็นเทคนิคขั้นสูงของการขี่สองล้อ คือการล้ม ล้มจนคล่อง จากตอนแรกๆแผลเต็มตัว ขี่ๆไปแผลน้อยลงแต่ ก็ไม่ใช่ไม่ล้ม เพียงแค่ล้มแล้ว เจ็บตัวน้อยหน่อย วิชานี้ผมกล้าพูดว่าผมชำนาญมากเพราะล้มบ่อย จนกระทั่งสามารถดีดตัวออกจากรถได้แบบอัตโนมัติ คือพอรู้ตัวว่าไม่รอดแล้วล้มแน่ๆ กล้ามเนื้อมันจะทำเองโดยธรรมชาติ โดย คนจะไปทางรถไปทาง จะเจ็บตัวน้อยที่สุด บางครั้งล้ม ที่ความเร็วช้าๆ ก็สามารถ โดดลงมายืนได้ แต่หากมาเร็วมากๆ ก็มองหาที่ ลงให้ดีมองข้ามไปอีกสัก 5 เมตร คนทาง รถทาง แล้วกลิ้งอย่างเต็มใจห้ามขัดขืน ปล่อยมันไปยิ่งฝืนยิ่งเจ็บ รถราคากี่แสนก็อย่าไปห่วง ส่วนใหญ่เจ็บหนักเพราะห่วงรถ หลังจากกลิ้งไปแล้วพอลุกขึ้นมาได้ ให้มองด้านหลังทันทีหากยังไม่มีเพื่อนตามมา ให้รีบปัดเสื้อผ้าแล้วยืนคล่อมรถทันที (ขี่ในป่าส่วนใหญ่จะเว้นระยะกันพอสมควร) ถ้าเสื้อผ้าไม่เลอะมากนัก เราก็ทำเป็นเนียน บอกว่าจอดรอเพื่อน ไม่ได้ล้มนะ
การขี่จักรยานแนวนี้ฟังดูอันตราย แต่ส่วนมากแล้วผู้ขี่จะใส่อุปกรณ์เซฟตี้กันเต็มที่เวลาล้มจึงไม่เจ็บมาก และเวลาล้มก็ล้มกันอยู่ในสนามหรือไม่ก็ในป่า ถึงแม้บางครั้งทำความเร็วกันได้ เกือบ 80 เวลาลงจากเขา แต่เพราะไม่มีรถยนต์มาคอยซ้ำตอนล้ม เท่าที่ทราบคือในเมืองไทยยังมีใครเสียชีวิตจากกีฬานี้ แต่ที่ล้มแล้วสลบกันต่อหน้าก็มีเหมือนกัน
หลังจากล้มมาจนมั่นใจ จึงเริ่มหันมาสนใจ ในมอเตอร์ไซค์ วิบากซึ่ง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะขี่ได้เนื่องจากผมตัวไม่สูง และไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อน แต่เนื่องจากเจ็บจนชินแล้ว และมีคนยุด้วยจึงซื้อ คันเล็กมาลองขี่ดูก่อน ปัญหาแรกของคนไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์คือ ครัชมือ กับเกียร์เท้า ซึ่งมันช่างกลับทางกันกับรถยนต์จริงๆ ขี่ช่วงแรกก็เข้าป่าเลย และก็ล้มกัน ง่ายๆตอนกลับรถนี่แหละครับ เครื่องดับ กลางเนินก็ล้ม จนน่วม กว่าจะชำนาญ ก็ใช้เวลาเกือบปี
เทคนิคสำคัญอีกอย่างที่ได้จาก จักรยานนอกจากล้มแล้วคือ track stand ซึ่งมันคือการทรงตัว บนจักรยานโดยขี่ให้ช้าที่สุด คนที่เซียนๆเค้าก็แทบจะหยุดอยู่กับที่เลยแต่เท้าไม่แตะพื้น ข้อดีของการฝึกนี้คือ
ได้รู้จักการควบคุมรถจริงๆ เพราะเวลารถวิ่งเร็วนั้นจะทรงตัวได้ง่ายกว่ามาก
โปรหลายๆท่านจึงบอกว่า อยากขี่สองล้อเก่งต้องฝึกแบบนี้ และผมคิดว่ามันจริงมากๆ เพราะหลังจากผมซื้อ รถ วิบากคันใหญ่มาขี่ (ขาก็ไม่ค่อยถึง) ปั้นเนินกระโดด (ขนาดกำลังดีเอาแค่กระดูกหักท่อนเดียว) จนชำนาญ นึกว่าตัวเองนั้นเก่งแล้ว แต่เมื่อขี่เข้าป่านั้น มันเป็นหนังคนละม้วนเลย เพราะเราไปเร็วไม่ได้ มีอยู่ทริปนึง เครื่องดับตอนจะข้ามห้วยเป็นเพราะผมเลี้ยงครัชไม่เก่งมัวแต่ซ้อมกระโดดเนินซึ่งมันเป็นskill ที่ไม่ได้ใช้ในป่าเลย หลังจากทริปนั้นผมกลับมาฝึกขี่ ให้ช้าที่สุดเลี้ยววงแคบที่สุด ปรากฏว่าช่วยได้จริงๆ
เวลาผมขี่มอเตอร์ไซค์เข้าป่านั้น ผมจะไปกันแค่ 2คัน และขนอุปกรณ์ สำหรับแคมปิ้งเต็มรถ เวลาขี่ ก็จะไปช้าๆ ชมวิวไม่เร่งเครื่องแรง จะได้ไม่รบกวนธรรมชาติ และถือคติไปให้ถึงกลับให้ได้ อยากมันส์กลับมาซิ่งสนามแถวบ้าน ผมโชคดีที่แถวนี้มีภูเขาและน้ำตกมากมายให้ขี่เที่ยว น้ำตกที่ผมชอบไปและต้องไปให้ได้ ปีละครั้งคือน้ำตกเหวอีอ่ำ เส้นทาง นี้ปกติต้องขออนุญาติเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก่อนเพื่อ ป้องกันและควบคุมไม่ให้ขึ้นไปทำลายธรรมชาติ น้ำตกนี้สวยและมีแอ่งน้ำให้นอนแช่ได้ติดกับที่ตั้งแคมป์ซึ่งรถยนต์ธรรมดาเข้าไม่ถึง เวลามาแคมป์ที่นี่ผมมักจะนัดกับกลุ่ม ออฟโร้ด อีกซักคันสองคัน มากันกลุ่มไม่ใหญ่ แต่อุปกรณ์ครัว ขนมาเต็มที่ เรียกว่านอนในป่าก็ขอสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะหน่อย
บรรยากาศ ดีมากๆครับ และเนื่องจาก มันไม่ไกลจากโรงแรมผมมากนักจึงมักจะมีคนแซวผมเสมอว่าโรงแรมตัวเองมี ไม่นอน มานอนในป่าทำไม แหม่ก็บรรยากาศมันต่างกันเยอะนะครับ
และนี่คือที่มาของการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวป่าซึ่งผม ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสมาก่อน
ความรู้สึกที่ใบหน้าได้รับลม ได้ชมวิว ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ครบทุกสัมผัส อีกทั้ง ทุกอวัยวะในร่างกายก็ต้องทำงานอยู่ตลอด แถมด้วยหัวใจที่ได้เต้นแรงลุ้นว่าจะล้มไม่ล้ม มันทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้ในชีวิต คงเสียดายแย่
OAT